พรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้งในปี 2544 และเริ่มโครงการ 30 บาทฯ นำร่องทันที จนมีการร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อย่างชัดเจน ดำเนินการเต็มรูปแบบทั้งประเทศในปี 2545
ก่อนหน้าจะมีโครงการ 30 บาทฯ ประเทศไทยไม่มีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลกับประชาชนทั่วไป จะมีก็แต่กับข้าราชการ
ปี 2518 รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช เริ่มจัดงบประมาณสงเคราะห์ประชาชนรายได้น้อยในเขตเมือง และนโยบายรัฐบาลต่อๆ มาก็เป็นการ ‘สงเคราะห์’ ผู้มีรายได้น้อยเรื่อยมา ในปี 2543 รัฐบาลชวน หลีกภัย เหมาจ่ายรายหัวให้เฉพาะ “คนยากจน” หัวละ 800 บาท จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่สร้างสวัสดิการรักษาคนทุกคนในปี 2544 โดยเหมาจ่ายรายหัวที่ 1,2002 บาท ครอบคลุมประชากร 45.35 ล้านคน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะทำให้ระบบโรงพยาบาลล้มละลายหรือสร้างปัญหากับระบบสาธารณสุข งานวิจัยติดตามประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปี 2545-2546 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปรียบเทียบการเหมาจ่ายรายหัว 3 ระบบ
ปี 2545
ปี 2547
ผ่านมา 15 ปีโครงการ 30 บาทฯ กลายเป็น ‘ตำนาน’ ของพรรคเพื่อไทยที่ยังคงถูกพูดถึงจนปัจจุบัน แม้มีรัฐประหารสองครั้งในรอบทศวรรษ โครงการนี้ก็ยังคงอยู่
ปี 2560 รัฐบาลอนุมันติงบ 169,752 ล้านบาทให้ สปสช. และการเหมาจ่ายรายหัวก็เพิ่มขึ้นเป็น 3,110 บาท ขณะที่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้มากกว่าเล็กน้อยที่ 3,400 บาท
แม้การดูแลคนส่วนใหญ่จะเริ่มเพิ่มคุณภาพขึ้นแต่ช่องว่างระหว่างคนทั่วไปกับข้าราชการก็ยังมีอยู่สูง ในปี 2560 เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ รวมแล้ว 73,658 ล้านบาท ครอบคลุมคนประมาณ 6 ล้าน (จำนวนข้าราชการและคนครอบครัวตามการประเมินของเดชรัตน์ สุขกำเนิด) เมื่อหารเฉลี่ยแล้วจะตกอยู่ที่ราวๆ 12,000 บาท
ล่าสุดใน ปีงบประมาณ 2568 แม้ร่างงบประมาณจะยังไม่ผ่าน ครม.และสภา แต่ในเบื้องต้น ครม.ได้อนุมัติวงเงินที่จะจ่ายให้ สปสช.แล้ว เมื่อ 9 เม.ย.2567 จำนวน 235,843 ล้านบาท นั่นจะทำให้ค่าเหมาจ่ายรายหัวขยับไปอยู่ที่ 3,845 บาท
รายละเอียดของเงิน 235,843 ล้านบาท แบ่งเป็น
ปัจจุบันนี้ จาก ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ พัฒนาขึ้นเป็น ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาที่รพ.ไหนก็ได้ เนื่องจากระบบหลังบ้านของรพ.ที่ผูกกับ สปสช.นั้นเชื่อมโยงกันแล้ว อีกทั้งระบบการเบิกจ่ายมีการเปลี่ยนแปลงให้คล่องตัว นอกจากนี้ยังเพิ่มบริการนัดหมอออนไลน์ จ่ายยาออนไลน์ ฯลฯ ทำให้ประหยัดเวลาขึ้นอีกด้วย
เบื้องต้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ได้เริ่มดำเนินการในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด ก่อนจะขยายเป็น 12 จังหวัด คาดว่าภายในปี 2567 นี้จะสามารถขยายผลเป็นทั่วประเทศได้