ไม่พบผลการค้นหา
แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
เตือน 4 จังหวัด เสี่ยงดินถล่มซ้ำ
พรรคการเมืองต้องลดเงื่อนไข และเสียสละ
สัปดาห์หน้า เงินจำนำข้าวจะถึงมือชาวนา
กองทุนช่วยชาวนา กับ ธ.ก.ส.
พระพยอมขอบิณฑบาตรกองทัพ
ต้องเร่งฟื้นฟูประเทศหลังจากน้ำท่วม
อภิสิทธิ์ ทำบุญวันเกิด ครบรอบ 47 ปี
เสนอ ครม.ต่อ พรก.ฉุกเฉินภาคใต้ 3 เดือน
ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ถอดถอน 'นิคม' พ้นปธ.วุฒิสภา
พท.เตรียมฟ้องแพ่ง-อาญา กกต.หากเลือกตั้งโมฆะ
ชาวนารถอีแต๋นสลายการชุมนุมแล้ว
นายกฯ สนองพระราชเสาวนีย์แก้ปัญหายาเสพติด
ขึ้นค่าแรงแต่หนี้กลับเพิ่มขึ้น
คสช.ลงตรวจคุณภาพข้าววันนี้
การเมืองลากยาว ลากท่องเที่ยวซึมยาว
ปัจจัยเอื้อต่อการเปลี่ยนรัฐบาล...ไม่ใช่ยึดอำนาจ
วันแรกทำบัตรประชาชนเด็กคึกคัก
THE MASTER : เสียงที่คุ้นเคยกว่า 30 ปีกับ 'โต๊ะ พันธมิตร' มีใครเป็นต้นเเบบ
คาดราคาสินค้าลดลงครึ่งปีหลัง
ตรึงดีเซล - ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม
Jan 8, 2011 13:45

ในวันนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มขวด 1 ลิตร ขึ้นราคาถึง 9 บาท หลังจากที่วัตถุดิบขาดแคลน และส่งผลให้น้ำมันปาล์มขายปลีกขาดตลาด ขณะที่ผู้ใช้น้ำมันดีเซลยังคงสบายใจได้ เพราะรัฐบาลตัดสินใจใช้เงินจากกองทุนน้ำมัน อุดหนุนไม่ให้ราคาเกินลิตรละ 30 บาท

รัฐบาลยังคงบริหารจัดการพลังงานแบบเตี้ยอุ้มค่อมต่อไป ด้วยการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อจะทำให้น้ำมันดีเซลมีราคาขายปลีกต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรซึ่งเท่ากับว่าคนใช้น้ำมันดีเซล ก็จะสบาย ไม่รู้จักประหยัดการใช้น้ำมัน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าไปดูแลราคาให้ แต่สำหรับคนที่ใช้เบนซิน ใช้แก๊สโซฮอล์ กลายเป็นผู้รับภาระแทน เพราะทุกลิตรที่เติม เงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่เอาเงินกองทุนน้ำมัน ไปอุ้มราคาดีเซล

คณะกรรมการนโยบายบริหารพลังงาน หรือ กบง. เห็นชอบนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อุดหนุน��าคาน้ำมันไบโอโอดีเซล B3 จำนวน 50 สตางค์ต่อลิตร และB5 อีก 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อส่งสัญญาณให้ค่ายน้ำมันเอกชนปรับลดราคาขายปลีก น้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรเช่นกัน

นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีพลังงานกล่าวว่า ดำเนินการดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของ ปตท. และบางจาก ในส่วนราคาน้ำมันดีเซล B3 จะอยู่ไม่เกิน 29.99 บาทต่อลิตร และ B5 ไม่เกิน29.59 บาทต่อลิตร ซึ่งอาจมีผลให้ผู้ค้าน้ำมันเอกชน ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงได้อีก

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. เห็นชอบเรื่องการแก้ปัญหา ราคาน้ำมันสูงโดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วงเงิน 5 พันล้านบาท เป็นเครื่องมือ รักษาระดับราคา เพื่อให้น้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท ซึ่งตั้งแต่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ใช้เงินไปแล้ว 770 ล้านบาท

หลังจากกองทุนน้ำมันเข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มเติมในรอบนี้ จะทำให้กองทุนมีเงินไหลออกเพิ่มขึ้นเป็น 1,977 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิม 1,257 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากราคาน้ำมันอยู่ในระดับนี้ จะทำให้เงินกองทุนน้ำมัน 5 พันล้านบาท สามารถชดเชยราคาดีเซลได้ไม่เกิน 2 เดือน

ทั้งนี้ในปัจจุบัน กองทุนน้ำมัน ยังมีเงินคงเหลือสุทธิประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท แต่หากวงเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไม่พอต่อการชดเชยราคา ก็จะยังไม่ขยายวงเงินเพิ่มจาก 5 พันล้านบาท แต่คงจะไปหารือกับ กระทรวงการคลัง เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงว่าจะทำอะไรได้อีก

ส่วนน้ำมันเบนซินออกเทน 91 นั้น รัฐมนตรีพลังงานบอกว่า คงไม่สามารถยกเลิกการจำหน่ายได้ เนื่องจากยังมีรถรุ่นเก่าที่ยังต้องใช้เบนซิน 91 อยู่ คงต้องให้เวลาในการปรับตัว โดยขณะนี้มีการใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 อยู่ที่วันละ 8 ล้านลิตร และคาดว่าอีกประมาณ 2-3 ปีข้างหน้าจึงจะสามารถยกเลิกการจำหน่ายได้ส่วนการประกาศบังคับจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล B5 เกรดเดียวนั้น ได้เลื่อนประกาศออกไปเป็นกลางเดือนมีนาคม จากเดิมที่จะบังคับใช้กลางเดือนนี้ หลังจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลง และสต็อกน้ำมันปาล์มปีนี้ลดลงกว่าปกติ

และแล้วตั้งแต่วันเสาร์นี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มขนาดขวด 1 ลิตร จาก 38 บาท เป็น 47 บาท หลังจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สินค้าขาดตลาดนอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ มีมติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ จากต่างประเทศ
จำนวน 3 หมื่นตัน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนภายในประเทศ

 อธิบดีกรมการค้าภายใน ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันปาล์มกล่าวว่า ตั้งแต่วันเสาร์นี้ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตรจะขึ้นราคาเป็น 47 บาท หลังจากผลผลิตขาดแคลน ทำให้วัตถุดิบสูงขึ้น แต่หากในอนาคตต้นทุนวัตถุดิบผลปาล์มปรับลดลง ก็จะมีการพิจารณาทบทวนเพดานราคาอีกครั้ง ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ ได้พิจารณาให้ไปศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันปาล์ม เพื่อเป็นแนวทางระยะยาวในการดูแลราคา และปริมาณผลผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค

ด้านเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรกล่าวว่า ขณะนี้สต็อกน้ำมันปาล์มขาดอยู่ประมาณ 3-5 หมื่นตันจึงทำให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ มีมติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จากต่างประเทศเข้ามาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคมนี้

ถามว่าทำไมที่ประชุมให้นำเข้าเพียง 3 หมื่นตันก่อนนั้น ก็ได้รับคำตอบว่า ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม ผลผลิตปาล์มจะมีออกมาจำนวนมาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสถานการณ์ปาล์มล้นตลาด อย่างไรก็ตามหากปาล์มล้นตลาด ทางกระทรวงพลังงานก็พร้อมที่จะนำไปใช้ในการผลิต ไบโอดีเซลต่อไป

การคาดว่าน้ำมันปาล์มบรรจุขวดจะขึ้นราคา ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มน้ำมันของบ้านเรา ขยับขึ้นอย่างคึกคักไม่ว่าจะเป็น ยูนิวานิชน้ำมัน ปาล์มล่ำสูง และ สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ซึ่งเมื่อพูดถึงหุ้นไทยแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าในปีที่ผ่านมานั้นคึกคัก และปีนี้ โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเดินหน้าต่อ ก็ยังมีอีกพอสมควร โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ตลาดหุ้นไทย น่าจะขึ้นไปแตะระดับ 1200 จุดได้

 บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ คาดว่าในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างชาติต่อเนื่อง ตามแผนการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ของสหรัฐ รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียยังมีเม็ดเงินไหลเข้าเช่นเดียวกัน เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นยุโรป และสหรัฐ โดยจะเป็นแบบนี้ไปอีก 2-3 ปี ทั่งภูมิภาค แต่ไม่กังวลว่าจะเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นเพราะมีปัจจัยที่ดีรองรับเพราะว่าในปีนี้ ทางบล.ไทยพาณิชย์คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องในระดับ 3.7-4.0% ซึ่งแม้จะลดลงจากปีก่อน ที่โต 7.3% แต่ถือว่าการเติบโตยังอยู่ในระดับสูง เพราะฐานตัวเลขเศรษฐกิจโตขึ้น ส่วนภาวะเงินเฟ้อยังมีความกังวลน่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จาก ราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องซึ่งทำให้คาดว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้า จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 1,200 จุด ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคแล้วจะพบว่า ราคาหุ้นไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยที่ผ่านมาไทยประสบปัญหาการเมือง ทำให้การเติบโตของตลาดหุ้นช้ากว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย

ส่วนค่าเงินบาทนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย คาด ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ มีแนวโน้มที่ เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้อีก เพราะโดยปกติแล้ว ในช่วงไตรมาส 1 จะมีเงินทุนไหลเข้า ตลาดหุ้น และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หลังจากในปีที่แล้ว เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 10.5% ซึ่งถือว่าแข็งมากที่สุดเป็นอันดับ3 ในภูมิภาค รองจากเยนญี่ปุ่น และริงกิตมาเลเซีย

 
คุณอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวว่าในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาหลายๆ ปี ยกเว้นปี 2008 มักจะมีเงินไหลเข้า และเกินดุล ฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่บาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าได้ แต่ก็ต้องดูค่าเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย ที่อาจแข็งค่าได้เช่นกันเพราะขณะนี้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีขึ้น ก็จะทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์มีมาก และจะ ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ เหมือนช่วง 1-2 วันนี้ที่ผ่านมา ทั้งนี้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติ จะยังคงเน้นการดูแลไม่ให้ เกิดความผันผวน ซึ่งหากช่วงใดเงินบาทไม่ผันผวนมาก ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการอะไร

แบงก์ชาติยอมรับว่า ปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ยังคงเป็นสิ่งที่ต้อง ติดตาม เพราะจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งหากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ก็จะ ทำให้ราคาน้ำมันถูกลงกว่าที่ควรจะเป็น แรงกดดันเงินเฟ้อก็มีไม่มาก จึงเป็นปัจจัย ที่โยงไปด้วยกันทั้งหมด รวมถึงปัจจัยเรื่องการไหลเข้าออกของเงินทุนด้วย

 
ส่วนใครที่คิดว่าเป็นข้าราชการ จะได้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรีนั้น คงต้องคิดใหม่เหมือนกัน เพราะขณะนี้เริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้นในการเบิกจ่ายยาแล้ว เพราะมีล่าสุดมีรายงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ตรวจพบการทุจริตยาในโรงพยาบาลหลายแห่ง และมีผู้เกี่ยวข้องเป็นบุคลากรในโรงพยาบาลมีส่วนในการสั่งจ่ายหรือเบิกยาด้วย กระทรวงสาธารณสุขได้ประชุมผู้เกี่ยวข้อง ทั้งเภสัชกรและแพทย์ผู้รักษา จากโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งขณะนี้ได้มีข้อเสนอมาตรการแนวทางการเบิกจ่ายยาของโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาข้าราชการ ทั้งประเภทเรื้อรังและยาที่ต้องควบคุมการจ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าปลัดกระทรวงสาธารณสุขจะลงนามเพื่อประกาศใช้เป็นแนวปฏิบัติเดียวกันทั่วประเทศ

โดยในการจ่ายยาแพทย์เฉพาะทางสั่งจ่ายได้ครั้งละไม่ควรเกิน 3 เดือน วงเงินรวมไม่ควรเกิน 50,000 บาทคิดจากราคาขาย หากไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางสามารถสั่งจ่ายได้ครั้งละไม่ควรเกิน 1 เดือน วงเงินไม่ควรเกิน20,000 บาทคิดจากราคาขาย

กรณีการสั่งจ่ายยาที่ต้องควบคุม ได้แก่ ยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ให้มีการจำกัดจำนวนการจ่ายต่อครั้งสำหรับกรณีที่มีการขอเบิกยาเดิมซ้ำ ในขณะที่จากการคำนวณแล้วยาเก่ายังเหลือพอใช้ได้จนถึงวันที่แพทย์นัด จะต้องระบุเหตุผลความจำเป็นไว้ในบัตรผู้ป่วยนอก กรณีที่แจ้งว่ายาหายจะต้องแจ้งให้โรงพยาบาลทราบเป็นลายลักษณ์อักษร โดยอาจทำแบบฟอร์มให้ผู้ป่วยกรอกและแนบเอกสารไว้กับบัตรผู้ป่วยนอก
Produced by VoiceTV

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
185Article
76559Video
0Blog