'บูกัตติ' เผยโฉมรถยนต์แพงที่สุดในโลก
Geneva International Motor Show เป็นมหกรรมยานยนต์ชั้นนำของโลก ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานทั้งในยุโรปและจากทั่วโลก และหนึ่งในไฮไลต์ของงานปีนี้ คือ รถยนต์รุ่นพิเศษ Bugatti La Voiture Noire (บูกัตติ ลา วัวตูร์ นัวร์) ซึ่งเป็นไฮเปอร์คาร์ที่มีราคาสูงถึง 19 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 600 ล้านบาท ราคานี้ ถ้ามาขายที่เมืองไทยแล้วรวมภาษีนำเข้าด้วย จะมีราคาสูงถึง 2,000 ล้านบาท แต่ว่าถึงจะแพงขนาดนี้ ก็มีคนจ่ายเงิน 19 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อรถคันนี้ไปเรียบร้อยแล้วที่งาน Geneva International Motor Show สร้างสถิติเป็นการซื้อขายรถราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยไม่มีการเปิดเผยว่าผู้ซื้อเป็นใคร มาจากที่ไหน
Bugatti La Voiture Noire ที่มีความหมายว่ารถสีดำ ถูกผลิตออกมาเพียงแค่คันเดียวในโลก โดยเป็นรถที่ออกแบบเพื่อระลึกถึงรถ Bugatti Type 57 SC Atlantic ปี 1936 ซึ่งเป็นรถในตำนานของ Bugatti ซึ่งมีสีดำเหมือนกันที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังเยอรมนีบุกยึดฝรั่งเศส นอกจากการออกแบบที่สวยงามเหมือนงานศิลปะล้ำค่าแล้ว Bugatti La Voiture Noire ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แบบ W16 สูบ ความจุ 8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 1,500 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 1,600 นิวตันเมตร ซึ่งจัดว่ารุนแรงและฟุ่มเฟือยสมชื่อรถยนต์ราคาแพงที่สุดในโลก และแม้รถคันนี้จะมีราคาแพงจนเหลือเชื่อ แต่หากมองในแง่คุณค่าทางศิลปะ หรือการลงทุนแล้ว ก็อาจจะคุ้มค่า เพราะมีเพียงแค่คันเดียวในโลก
'เสียวหมี่' จะผลิตสมาร์ตโฟนที่แพงขึ้น
เสียวหมี่ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจากจีน ที่มีชื่อเสียงเรื่องการผลิตสมาร์ตโฟนที่มีคุณภาพดี และมีราคาที่ย่อมเยา ประกาศว่าจะเริ่มผลิตสมาร์ตโฟนที่มีราคาแพงมากขึ้น เพื่อหนีภาพลักษณ์ที่คนจำนวนมากมองว่าเสียวหมี่เป็นสมาร์ตโฟนราคาถูก โดย นาย เหลย จุน ซีอีโอของเสียวหมี่ กล่าวว่าเสียวหมี่จะลงทุนมากขึ้นเพื่อผลิตสมาร์ตโฟนที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม และราคาของสมาร์ตโฟนเสียวหมี่จะแพงขึ้นอย่างแน่นอน แต่ว่าจะแพงขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เสียวหมี่ได้แยกแบรนด์สมาร์ตโฟนออกมาอีกแบรนด์หนึ่งที่มีชื่อว่า เรดหมี่ ซึ่งจะเน้นไปที่การผลิตสมาร์ตโฟนราคาถูกโดยเฉพาะ จึงเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าต่อจากนี้ สมาร์ตโฟนของเสียวหมี่จะมุ่งเน้นไปที่ระดับบน และจะให้ความสำคัญกับการออกแบบมากขึ้นเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับบน เนื่องจากที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนของเสียวหมี่ถูกมองว่ายังไม่มีการออกแบบที่โดดเด่น หรือดูเป็นตัวของตัวเองมากเท่าไร
'นินเทนโด' จะไม่ขายไอเทมในเกมมากเกินไป
ธุรกิจเกมบนสมาร์ตโฟนเติบโตอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้จำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะจากค่าดาวน์โหลด ค่าสปอนเซอร์ แต่รายได้หลักของเกมส่วนมากมาการขายไอเทมในเกม หรือที่เรียกว่า In-App Purchase โดยหลังจากที่ผู้เล่นเริ่มเล่นเกมไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง เกมก็จะมีความท้าทาย และเล่นยากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องมีการอัปเกรดไอเทมต่าง ๆ ที่ใช้ในการเล่นเกม ซึ่งนินเทนโด ผู้ผลิตเกมรายใหญ่ ประกาศว่าไม่ต้องการทำกำไรจากส่วนนี้มากเกินไป จึงพยายามออกแบบเกมที่ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเยอะมาก เพื่อซื้อไอเทม โดยเกมของนินเทนโดจะมีการสร้างอีเวนต์แจกไอเทมฟรีอยู่บ่อยครั้ง หรือกำหนดการอัปเกรดตัวละครให้ไม่ยุ่งยากเกินไป
ในปีนี้ นินเทนโดมีแผนทำเกมลงสมาร์ตโฟนมากขึ้น แต่นินเทนโดไม่ต้องการทำกำไรมากมายจากเกมสมาร์ตโฟน แต่ต้องการใช้สมาร์ตโฟนเป็นช่องทางโปรโมตเกมคอนโซลของบริษัท ให้ผู้เล่นกลับไปซื้อเกมคอนโซลของนินเทนโดมากกว่า โดยเกมสมาร์ตโฟนจำนวนมากสามารถสร้างรายได้จากการขายไอเทมได้มหาศาล แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาเยาวชนที่ยังไม่มีรายได้ ใช้เงินเกินตัวซื้อไอเทมเพื่อเอาชนะคนอื่น จนเกิดปัญหาสังคมตามมา