กรุงเทพมหานคร จะเป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชีย ที่น้ำทะเลจะเอ่อเข้าท่วมเมืองนักวิชาการเสนอ สร้าง “เขื่อนก้องทะเล”ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
อุทกภัยครั้งล่าสุดที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิต และทรัพย์สินในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้คนไทยตระหนักถึงความจำเป็นของการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีผลการวิจัยของธนาคารโลกร่วมกับนักวิจัยไทย ระบุว่า หากกรุงเทพ เผชิญกับปริมาณน้ำมากเท่ากับน้ำท่วมใหญ่ปี 2538 ระบบที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับได้ และกรุงเทพมหานคร จะเป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชีย ที่น้ำทะเลจะเอ่อเข้าท่วมเมืองภายใน 10 ปี
ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล จากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สรุปภาพรวมปัญหาน้ำท่วม 2 ลักษณะที่ประเทศไทย เผชิญ คือ 1. น้ำท่วมที่เกิดเป็นประจำจาก น้ำหนุน น้ำเหนือ และน้ำฝน 2. น้ำท่วมที่เกิดจากน้ำทะเลท่วมแผ่นดิน
ศาสตร์ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม มี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบแรก คือการแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยใช้โครงสร้าง เช่น เขื่อน คันกั้นน้ำ รูปแบบที่สอง คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยไม่ใช้โครงสร้าง เช่น การวางผังเมือง
ศ.ดร.ธนวัฒน์ เคยเสนอผลงานวิจัยแนวทางป้องกันน้ำท่วมแบบบูรณาการไปแล้วเมื่อปี 2542 แต่น่าเสียดายที่งานวิจัยไม่ได้รับความสนใจจากนักวางแผน แนวทางที่นำเสนอ เช่น วางแผนแม่บทมาตรฐานการป้องกันน้ำท่วมโดยใช้สิ่งก่อสร้าง แผนการพัฒนากรุงเทพ และเมืองบริวาร การควบคุมการใช้น้ำบาดาลเพื่อป้องกันแผ่นดินทรุด มาตรการควบคุมการใช้ที่ดิน และผังเมือง
ส่วนน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำทะเลท่วมแผ่นดิน เพิ่งมีการเปิดเผยแผนที่น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ระยะทาง 120 กิโลเมตร จาก กรุงเทพ สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และฉะเชิงเทรา เป็นชายฝั่งด้านที่มีการกัดเซาะรุนแรงที่สุด จากการคำนวณตามหลักวิชาการจากนี้ไปอีกชายฝั่งแถบนี้ 20 ปี พื้นที่จะหายไป 6.8 หมื่นไร่ 50 ปี 2 แสนไร่ และ 100 ปี 4 แสนไร่ นักวิชาการกลุ่มนี้เสนอการสร้าง “เขื่อนก้องทะเล”ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง โดยขณะนี้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว
ส่วนภาพรวมพื้นที่ชายฝั่งทั่วประเทศ 2,600 กิโลเมตร จุดวิกฤติที่เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง 30 จุด ด้านอ่าวไทย 22 จุด ฝั่งอันดามัน 8 จุด
Produced by VoiceTV