รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2563
“คำผกา” จัดให้ชุดใหญ่ หลังฟัง “ไพบูลย์” ที่มีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์เป็นส.ส. แต่ได้คะแนนปัดเศษ จนได้เป็น ส.ส. แถมย้ายพรรคเข้าพลังประชารัฐหน้าตาเฉย ออกโรงอวย “ประยุทธ์” มีคนหนุน 8.4 ล้านเสียง ชี้ถ้ามีคนหนุนขนาดนี้จะกลัวอะไรกับการลาออก แนะเร่งแก้รัฐธรรมนูญ แล้วลงเลือกตั้งใหม่เลย ถ้ามั่นใจฝีมือการทำผลงาน
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวในการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ว่า แม้มีข้อเรียกร้องจากผู้ชุมนุมให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง แต่ส่วนตัวขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจ และขอให้คำนึงถึงเสียงประชาชน 8.4 ล้านคน ที่เลือกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
พร้อมเสนอให้ใช้การออกเสียงประชามติ ให้ประชาชนทั้งประเทศมาออกเสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ต่อการจัดการชุมนุมในปัจจุบัน การออกเสียงประชามติทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 และอาจตราเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ก็ได้ ซึ่งหากการออกเสียงประชามติเกิดขึ้น จะเท่ากับเสียงคนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วม ในการออกเสียงว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับการชุมนุม และจะได้ข้อยุติ ซึ่งเป็นหลักการประชาธิปไตยทางตรง ไม่ใช่คนหลักหมื่นมาอ้างเสียงของประชาชนทั้งประเทศ
นายไพบูลย์ มั่นใจว่าประชาชนเสียงข้างมากกว่า 90% จะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จาบจ้วงสถาบัน พร้อมขอให้ประชาชนอีกกว่า 60 ล้านคน ออกมาพิทักษ์ รักษาชาติ ศาสนา และสถาบัน ให้จงได้
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า หากมีพรรคการเมือง นักการเมือง ร่วมชุมนุมการปฏิรูปสถาบัน อาจเข้าข่ายถูกดำเนินคดีอาญาและนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองนั้นด้วย ขณะเดียวกันขอประณามการที่นักการเมืองอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาในการแย่งชิงอำนาจรัฐ บั่นทอนความมั่นคงของชาติและสถาบัน เป็นเรื่องน่าละอาย
นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ต้นตอหนึ่งของปัญหาที่ยืดเยื้อ เกิดจากความยึกยักในการ ตั้งกมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคและส่วนตัวเห็นว่าเรื่องย้อนเเย้งที่สุดคือ การตั้ง กมธ.ศึกษาหลักการฯ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล สร้างความชอบธรรมให้การชุมนุมยืดเยื้อบานปลายจนนำไปสู่การจาบจ้วงสถาบัน และอาจนำไปสู่ความรุนเเรงยากจะหยุดยั้ง
นายอิสระ ได้ตั้ง 4 ข้อสังเกตคือ
1.ขอบคุณนายกฯที่เเถลงการณ์วันที่ 21 ต.ค. และมีหนังสือถึงประธานรัฐสภา ขอเปิดอภิปรายตามมาตรา165 แต่สิ่งที่มีความชอบธรรมที่สุด อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับถูกละเลย ในคำแถลงการณ์ เเละในหนังสือญัตติที่ส่งมา เป็นเรื่องแปลกน่าจะที่สุดในโลก ที่มาถกเถียงกันในเรื่องเป็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล นึกถึงอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่จริงใจ วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ง่ายมาก แค่ขยับปากให้ตรงกับใจ ถ้าใครไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ก็บอกมาให้ชัด
2. จริงอยู่ว่าการเรียกร้องของผู้ชุมนุม เป็นการผูกรวมสถาบันเข้ากับการเมือง เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาลที่จะต้องไม่ผูกรวมเรื่องนี้ให้เเน่นยิ่งขึ้นไปอีก ควรต้องยกสถาบันออกจากความขัดเเย้งทางการเมืองให้ได้ ถ้ารัฐบาลยิ่งไม่ชัดเจนเรื่องรัฐธรรมนูญเท่าไหร่ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่าทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
3. ขอประนามการใช้ความรุนเเรง ทั้งทางร่างกายและวาจา ไม่ว่าจะฝ่ายไหน โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำหยาบคายกับสิ่งที่เป็นที่เคารพของพวกเรา เหมือนกับเช่นว่าเราคงไม่ชอบให้ใครมาว่าพ่อเเม่ของเรา การใช้ความรุนเเรงไม่นำไปสู่ทางเลือก แต่หลายครั้งนำไปสู่เหตุการณ์น้ำผึ้งหยดเดียว ที่นำไปสู่ทางตัน
4. ส่วนตัวเพิ่งลงพื้นที่ต่างจังหวัด ผู้ประกอบการเดือดร้อน ต่างชาติอาจมองว่า ความเห็นต่างทางการเมือง เป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย แต่อยากให้หยุดคิดแล้วถามกลับไปว่า ถ้ายังทะเลาะกันเเบบนี้เขาจะมาเที่ยว มาลงทุนเมืองไทยหรือไม่ ทุกท่านมีคำตอบในใจเเล้วดังนั้น ถ้าถอยคนละก้าวไม่พอ จะถอยมากกว่าก้าวตนคิดว่าต้องทำ ถ้ารักประเทศและประชาชนอย่างที่ประกาศเอาไว้จริงๆ
ขณะที่นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ส่วนตัวมองว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องลาออก ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ รัฐสภากำลังดำเนินการอยู่ ส่วนเรื่องสถาบัน ไม่ใช่ปัญหาประเทศ พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เป็นศูนย์รวมของคนไทยทั้งประเทศ อย่าแตะต้อง