'เลดี้ กาก้า' เปิดการแสดงประจำที่นครลาสเวกัส ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปี 2019 ภายใต้ชื่อการแสดง Enigma หลังเซ็นสัญญาทำการแสดงที่โรงแรม MGM เป็นเวลา 2 ปีเต็ม
หลังจากวันที่ 20 ธันวาคม ปี 2017 นักร้องสาวเสียงดี เลดี้ กาก้า ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอตัดสินใจเซ็นสัญญาสำหรับขึ้นโชว์ที่ Park Theater ขนาด 5,300 ที่นั่ง ของโรงแรม MGM ในนครลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา ของสหรัฐฯ เป็นเวลา 2 ปี ในที่สุด วันที่ 28 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ความฝันของแฟน ๆ ที่จะได้เห็นเธอขึ้นโชว์ในคอนเสิร์ตสุดอลังการที่มีชื่อว่า Enigma ก็เป็นความจริง
Park Theater หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า Park MGM เป็นสถานที่ที่เคยจัดโชว์ของนักร้องที่มีชื่อเสียงมาแล้วหลายคน เช่น เอลวิส เพรสลีย์ โทนี เบนเนตต์ กับ แฟรงก์ ซินาตรา เอลตัน จอห์น จูดี การ์แลนด์ และไลซา มินเนลลิ โดยเลดี้ กาก้า เพิ่งเปิดเผยในแถลงการณ์เมื่อปีที่แล้วว่า การแสดงประจำแบบ Residency นี้ เป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมานาน ซึ่งเธอเคยกล่าวว่าเธอยังอ่อนหัดนักในเส้นทางการเป็นศิลปิน และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้สร้างสรรค์โชว์ใหม่ที่เวกัสไม่เคยได้เห็นมาก่อน
หลังจากการแสดงเปิดตัวรอบแรกจบลง เลดี้ กาก้า ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจากผู้ชมที่มีโอกาสเข้าไปชมรอบแรก รวมถึงคนดังและสื่อมวลชนมากมาย ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าการแสดงของเธอสนุกและทรงพลัง สมการรอคอย และที่สำคัญเธอคืออีกหนึ่งศิลปินแห่งศตวรรษที่เหมาะที่สุดสำหรับการลงหลังปักฐานแสดงคอนเสิร์ตระยะยาว ในนครที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งความบันเทิงของโลกอย่างลาสเวกัส
กาก้าเปิดตัวการแสดงของเธออย่างโลดโผนด้วยการลอยตัวขึ้นไปยังเวที พร้อมกับการเล่นกีตาร์อย่างเมามันในเพลงดังของเธอ Just Dance ก่อนจะต่อด้วยเพลงดังอีกเพลงอย่าง Scheiße (ชาย-เซอ) ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กันเพราะเธอทำการแสดงเพลงนี้โดยการนั่งอยู่บน 'หุ่นยนต์แมงมุมยักษ์' ที่แฟนหรือเหล่า Little Monster หลายคนเปรียบเจ้าตัวหุ่นยนต์นี้เป็นเหมือนกับทรานส์ฟอร์เมอร์ของกาก้า
คอนเซปต์โดยรวมของคอนเสิร์ต Enigma ไม่ใช่แค่การรวบรวมเพลงฮิตระดับโลกของ เลดี้ กาก้า มาไว้ด้วยกันเท่านั้น หากแต่เป็นการแสดงที่แสดงออกถึงความเป็นต้องการของเลดี้กาก้าที่จะค้นหาว่า แท้ที่จริงแล้วตัวตนของเธอคืออะไรกันแน่ โดยตลอดช่วงการแสดงมีการใช้แอนิเมชันขนาดยักษ์ชื่อ Enigma ซึ่งหมายถึงปริศนา ความลึกลับ และความน่าสงสัย ทำหน้าที่เป็นเหมือนจิตวิญญาณนำพาคนดูให้ค้นพบตัวตนของนักร้องสาวคนนี้ไปเรื่อย ๆ ผ่านการแสดง
หลังจากการแสดงผ่านไปได้ระยะหนึ่ง โปรดักชันของการแสดงก็จะปรับเข้าสู่โหมดที่เรียกว่าการต่อสู้ โดยเป็นการสู้กันระหว่างตัว เลดี้ กาก้า เอง กับความรู้สึกอันเลวร้ายที่อยู่ในตัว จังหวะนี้การแสดงทั้งเพลง แสง สี เสียง จะเปลี่ยนเข้าสู่บรรยากาศที่คล้ายกับบนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่ใช่โลก รายล้อมไปด้วยยานอวกาศรูปไข่ และเหล่าแดนเซอร์ในชุดแนบเนื้อสุดประหลาด สร้างความตื่นเต้นและน่าสนใจให้กับโชว์ได้เป็นอย่างดี
Rolling Stone สื่อใหญ่จากสหรัฐฯ เขียนรีวิวไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการแสดง Enigma นั้นเกิดขึ้นขณะที่มีการแสดงด้นสด 'นอกสคริปต์' อย่างเช่น ช่วงที่กาก้านั้นร้องแอดลิปในท่อนหนึ่งของเพลง You and I โดยหลังจากท่องปกติที่ร้องว่า 'Been a long time but I'm back in town' ก่อนที่เธอจะร้องท่อนที่ไม่ได้อยู่ในเพลงออกมาว่า 'And I'm stickin' around for two whole years. Three if I'm lucky!'
นอกเหนือจากสื่อมวลชนและผู้ชมที่ถูกรับเชิญเข้าชมการแสดงรอบเปิดตัวแล้ว อีกหนึ่งกลุ่มคนดูที่เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมากก็คือบรรดาคนดังแถวหน้าระดับโลกที่ตบเท้าเข้ามาชมการแสดงด้วย ไม่ว่าจะเป็น Dave Grohl, Katy Perry, Orlando Bloom, Jeremy Renner, Marisa Tomei และ Adam Lambert
ส่วนรอบที่สอง เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องยกความดีความชอบให้กับตำนานวงการเพลงอย่าง Celine Dion ที่ลุกขึ้นวาดลวดลายโชว์สเต็ปอย่างเมามันจนเป็นกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย ซึ่งหากว่าทางผู้จัดใช้ระดับความพึงพอใจของ Celine Dion เป็นบรรทัดฐานก็ถือว่าคอนเสิร์ต Enigma นี้ประสบความสำเร็จอย่างไร้ข้อกังขาเลยทีเดียว
ด้านเว็บไซต์บันเทิงรายใหญ่อย่าง Entertainment Weekly ออกมาแสดงความเห็นว่าคอนเสิร์ต Enigma คือวิธีหนึ่งที่กาก้าใช้แบ่งปันเรื่องราวจากภาพฝันที่เกิดขึ้นในจินตนาการของเธอที่เธอต้องการจะแสดงออกมาอย่างสร้างสรรค์เพื่อแฟน ๆ หลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่ากาก้าได้หลงทางและสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปบ้าง ไม่ว่าจะเพราะการกระทำของเธอเอง หรือสิ่งแวดล้อมและความกดดันจากรอบตัว แต่การแสดงทั้งหมดที่ถูกร้อยเรียงมาเป็นอย่างดีนี้ เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าเธอก้าวมาอยู่ในจุดที่พร้อมและมั่นใจมากที่สุด
ช่วงสุดท้ายของการแสดงราว 2 ชั่วโมง แฟน ๆ ตะโกนอังกอร์เรียกร้องให้กาก้าออกมาแสดงต่อหลังจากคอนเสิร์ตได้จบลง เลดี้ กาก้า ออกมาร้องแถมอีกหนึ่งเพลงตามธรรมเนียม ซึ่ง บริททานี สปาโนส หนึ่งในผู้ชมเล่าว่าเพลงสุดท้ายคือไฮไลต์ของจริง กาก้ามอบเพลง Shallow เป็นของขวัญก่อนปิดการแสดง ซึ่งเป็นเพลงที่ดังเป็นพลุแตกควบคู่ไปกับภาพยนต์เรื่อง A Star Is Born ที่เธอนำแสดง บริททานีเล่าว่าเพลงสุดท้ายช่างเป็นโมเมนต์ที่พิเศษ มันทำให้เรารู้ว่า เลดี้ กาก้า ประสบความสำเร็จและเดินมาไกลมากแค่ไหนในเส้นทางอาชีพของเธอ