เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลได้นัดตรวจหลักฐานคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือ โจ้ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ กับพวกรวม 7 คน เป็นจำเลย ในข้อหากระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
และร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157, 288, 289(5), 309 วรรค 2 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4,172
สืบเนื่องจาก จิระพงษ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งถูกจับและควบคุมไว้ในคดียาเสพติดและถูกฆ่าถึงแก่ความตายขณะอยู่ในความความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค. 2564 ที่ สภ.นครสวรรค์โจทก์ โจทก์ร่วม และเบิกตัวจำเลย1-7 มาจากเรือนจำ รวมทั้งทนายจำเลยทั้งหมดมาศาล ศาลได้ตรวจพยานหลักฐาน และให้โจทก์ โจทก์ร่วม จำเลย 1-7 และทนายจำเลยตรวจสอบแล้ว
โดยจำเลยทั้ง 7 รับข้อเท็จจริงว่าช่วงเกิดเหตุจำเลยทั้ง 7 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่สืบสวน จับกุม ปราบปราม ตามกฎหมาย เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ในวันเกิดเหตุได้จับกุมจิระพงษ์ หรือมาวิน และ กนกวรรณ (ขอสงวนนามสกุล) ภรรยา หลังจากพบหลักฐานเป็นยาเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด หรือไอซ์จำนวน 300 กรัม
จากนั้นชุดจับกุมได้มีการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของจิระพงษ์ หรือ มาวิน พบว่ามีภาพถ่ายกล่องใส่ยาเสพติดจำนวนมาก จึงได้ไปค้นบ้านพักซึ่งเป็นของบิดาจิระพงษ์แต่ไม่พบหลักฐาน ต่อมา จำเลยที่ 1-7 ได้พาจิระพงษ์มาสอบสวนขยายผลที่ห้องปฏิบัติการพิเศษยาเสพติด 05 และ จำเลยที่ 1 ได้นำถุงพลาสติกจำนวนหลายใบมาคลุมหัวของจิระพงษ์ และจำเลยที่ 2-7 อยู่ในห้องขณะเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1-7 รับว่ากล้องที่บันทึกภาพและภาพที่ปรากฏจำเลยที่ 1-7 เป็นตนเองที่ใส่ชุดในวันเกิดเหตุตามเอกสารหลักฐานในเอกสาร
ศาลได้นัดกำหนดสืบพยานทั้งหมด 23 ปากโดยกำหนดวันที่ 19-21 ก.พ.65 และ 5-6, 12-13 มี.ค.65 อย่างไรก็ตาม วันนัดเดิมวันที่ 13 ก.พ.65 ต้องยกเลิกเนื่องจากศาลได้ย้ายที่ทำการใหม่ ไปที่แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตรวจหลักฐาน พ.ต.อ.ธิติสรรค์ จำเลยที่ 1 ใส่ชุดนักโทษสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาเคร่งขรึมตลอดการพิจารณา ได้แถลงต่อศาลว่า วันที่เกิดเหตุยอมรับว่าได้ทำการคลุมถุงดำจำนวนหลายใบกับจิระพงษ์จริง แต่ไม่ได้ตรึงบีบรัดให้แน่นจนขนาดขาดอากาศหายใจ เพียงแต่ทำให้กลัว
และขอให้ศาลช่วยตรวจสอบคลิปที่ส่งไปในครั้งแรก เนื่องจากมีการตัดต่อคลิปนำภาพการพยายามช่วยชีวิตจิระพงษ์ และคลิปภาพตำรวจบางที่อยู่ในที่เกิดเหตุออกไป และให้การเท็จว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเนื่องจากเจ้าของคลิปมีส่วนรู้เห็น และตนได้ส่งคลิปเต็มผ่านทางทนายให้ศาลพิจารณาแล้ว
โดยศาลแจ้งว่า คลิปทั้งหมดศาลจะนำไปเป็นวัตถุพยานหลักฐาน หากจำเลยเห็นต่างก็ให้ว่ากันในของชั้นพิจารณา และหากเห็นว่าเมื่อสืบพยานทั้งหมดที่นัดแล้วยังได้ข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ศาลอาจจะพิจารณาเพิ่มพยานในภายหลังได้
ต่อมา โชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ เปิดเผยว่า มีนัดสืบพยานนัดแรก 19-20 ก.พ. โดยคดีนี้มีนัดสืบพยานทั้งหมด 7 นัด นัดสุดท้ายวันที่ 13 มี.ค. ตอนนี้คดีอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว ตนก็ทำหน้าที่ในฐานะของทนายความ ระบบไต่สวน เป็นระบบที่ศาลแสวงหาข้อเท็จจริง อะไรที่ไม่พอ เดี๋ยวศาลท่านจะดูเอง