ไม่พบผลการค้นหา
ศาลอาญายกฟ้องคดีตระเตรียมปาระเบิดป่วนกรุงเทพฯ ปี 58 ชี้พยานหลักฐานอ่อน รับฟังไม่ได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยทั้งหมด

ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษา คดีเตรียมปาระเบิด 100 จุด คดีหมายเลขดำ อ.3060/2562 ซึ่งเป็นคดีที่ได้รับโอนมาจากศาลทหารหลังจากมีการประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่กำหนดให้คดีความมั่นคงต้องเข้าสู่การพิจารณาโดยศาลทหาร

โดยคดีนี้มีพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาที่ 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสุภาพร มิตรอารักษ์, นางวาสนา บุษดี, น.ส.ณัฏฐิดา หรือแหวน มีวังปลา พยานปากเอกคดี 6 ศพวัดปทุมฯ, นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ, นายวสุ เอี่ยมละออ และนายสมชัย อภินันท์ถาวร เป็นจำเลยที่ 1-6 ในข้อหาเป็นอั้งยี่, ร่วมกันสมคบก่อการร้ายฯ, มียุทธภัณฑ์เครื่องกระสุนปืนฯ และร่วมกันใช้ให้ทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/2, 209, 288, 289, 83, 84, 91 พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 55 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 5, 7, 15, 42

โดยคำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 1 – 5 ก.พ. 2558 จำเลยที่ 1-6 สมคบกันเพื่อก่อการร้าย ตระเตรียมลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ RED-5 เพื่อนำไปใช้ก่อเหตุขว้างใส่สถานที่สำคัญ ในวันและเวลาที่อยู่ระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร โดยจำเลยที่ 1-6 ใช้จ้างวานนายวิเชียร ชะลอยรัมย์ ให้นำลูกระเบิดไปขว้างใส่บริเวณสวนลุมพินี, สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีจตุจักร หรือศาลอาญา แห่งใดแห่งหนึ่ง แต่นายวิเชียรมิได้กระทำการตามที่ถูกใช้ ต่อมาวันที่ 12 มี.ค. 2558 เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมระเบิดชนิดดังกล่าวจำนวน 1 ลูก เป็นของกลาง

โดยในวันนี้จำเลยทั้ง 4 เดินทางมาศาลซึ่งมีจำเลย2 คนถูกคุมขังในคดีนี้เเละคดีอื่นที่เกี่ยวพันกัน

โดยภายหลังฟังคำพิพากษา วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความเปิดเผยว่า ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1,2,3,5,6 ข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันตระเตรียมการหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย ครอบครองยุทธภัณฑ์ พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ เนื่องจากไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันตามคำกล่าวอ้างของ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์ (ตำเเหน่งขณะนั้น)พยานที่ซักถามในค่ายทหาร มีเพียงบันทึกซักถามเท่านั้น นอกจากนี้ การโอนเงินก็ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าโอนเงินไปด้วยวัตถุประสงค์ใด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยทั้งหมด

ส่วนจำเลยที่ 4 ติดคุกมานานจึงรับสารภาพข้อหาอั้งยี่ ศาลลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ตามที่รับสารภาพ 4 ปี ลดกึ่งหนึ่ง 2 ปี แต่ถูกคุมขังมา 7 ปี ส่วนข้อหาตระเตรียมหรือสมคบกันร่วมกันก่อการร้ายและข้อหาอื่นยกฟ้องเช่นกัน จึงต้องปล่อยตัวต่อไป

วิญญัติเปิดเผยต่อว่าสำหรับคดีนี้ทางทีมทนาย เรียกว่า คดีตระเตรียมปาระเบิดซึ่งทั้ง 6 คน ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันเป็นอั้งยี่ ตระเตรียม สมคบกันเพื่อก่อการร้าย โดยวางแผนให้สมาชิกดำเนินการก่อเหตุขว้างระเบิด 100 จุด พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อต้องการให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือเสรีภาพของประชาชน ทำให้ประชาชนเกิดความหวัดกลัวและเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นในประเทศ ก็เป็นที่น่าสงสัยเหตุใดทหาร คสช. ไม่ยับยั้งจับกุมเพื่อระงับก่อนมีการก่อเหตุ ซึ่งขณะนั้นบ้านเมืองอยู่ในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึก

พวกเขาถูกตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงและถูกคุมขังมานับปี หนักที่สุด คือ จำเลยที่ 1 เป็นผู้หญิง ต้องตกเป็นจำเลย ถูกทหารเข้าบุกค้นบ้านที่จังหวัดมุกดาหาร การข่าวอ้างว่าเธอสนับสนุนทางการเงิน จากการตรวจค้นบ้านครั้งที่สอง พบมีลูกระเบิด RGD-5 ที่ไม่มีชนวนระเบิด 1 ลูก มันไม่สามารถใช้เป็นระเบิดก่ออันตรายหรือจะถือว่ายุทธภัณฑ์ที่ก่อการร้ายได้ ทำให้ต้องทุกข์ทรมานจากรัฐที่ใช้กระบวนการและอำนาจตามกฎหมายคุมขังเธอตั้งแต่ 13 มี.ค. 2558 ถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ก็ยังมีจำเลยที่ 4 (ผู้ชาย) ก็ยังถูกคุมขังมาถึงปัจจุบัน

คดีนี้จึงเป็นคดีภาคต่อกับ”คดีปาระเบิดหน้าศาลอาญา” ที่เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2558 ด้วยลูกระเบิด RGD-5 เหตุในครั้งนั้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีเพียงป้อม รปภ.และแท่งปูนลานจอดรถเสียหายไม่มากนัก ทันทีทันใดนั้นทหารซึ่งอ้างว่าไปดักซุ่มอยู่หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อรอตะครุบตัวผู้ก่อเหตุ

ทำให้จำเลยบางคนทั้งสองคดี ถูกแยกฟ้อง 2 คดี ซ้ำซ้อนกัน ทั้งที่ตำรวจและอัยการทหารสามารถฟ้องเขาเป็นคดีเดียวได้ โดยคดีปาระเบิดหน้าศาลอาญา ซึ่งมีจำเลยในคดี 14 คน ถูกคุมขังถึงปัจจุบัน 3 คน ส่วนคนอื่นถูกคุมขังแล้วประกันตัวได้ ซึ่งคดีปาระเบิดดังกล่าวนั้น อีกไม่นานนี้ก็จะมีการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น