วันที่ 9 พ.ย. แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงนโยบายขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ว่า ขณะนี้วงในรัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยมีการพูดคุยกันว่าจะปรับเพิ่มขึ้นทุกคนไม่เท่ากันแน่นอน โดยจะเน้นกลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อย อาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่ากลุ่มอื่น แต่ทั้งหมดนั้นคงต้องมีการหารือกันอีกครั้งว่าเพื่อให้ได้ข้อสรุป
แหล่งข่าวระบุว่า เหตุผลของการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยเน้นข้าราชการชั้นผู้น้อย เป็นผลมาจากข้อจำกัดของงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือน เพราะถ้าขึ้นทั้งระบบจะต้องใช้งบประมาณสูงไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท หากจะพิจารณาปรับเพิ่มเงินเดือนในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน ทั้งระบบตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ไปจนถึงข้าราชการระดับสูง
"สัดส่วนการปรับขึ้นถ้าจะคิดเป็นฐานเดียวกัน เช่นถ้าปรับขึ้น 5% หรือ 10% ถ้าขึ้นเหมือนๆ กันจะส่งผลกระทบกับงบประมาณจำนวนมาก เพราะนอกจากเงินเดือนแล้ว ยังส่งผลไปถึงรายจ่ายเรื่องของเงินบำเหน็จบำนาญของข้าราชการอีกด้วย ดังนั้นจึงมีแนวคิดว่าจะปรับขึ้นให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมากหน่อย และระดับสูงอาจได้แค่เล็กน้อยถือเป็นการเสียสละเพื่อข้าราชการชั้นผู้น้อยได้มีรายได้ไปเลี่ยงครอบครัวมากขึ้น”
แหล่งข่าวระบุอีกว่า อย่างไรก็ตามในการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการครั้งนี้ จะสามารถปรับขึ้นไปได้ตามเป้าหมายของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ คือ เงินเดือนปริญญาตรีเดือนละ 25,000 บาท หรือไม่ ตอนนี้รัฐบาลก็ต้องกลับมาดูถึงภาระต่างๆ ให้ดี ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลจำนวนข้าราชการไทย ล่าสุด หลังจากคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ได้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เมื่อช่วงเดือนมี.ค. 66 เกี่ยวกับมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ ปี 66 – 70 พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการจ้างงานในส่วนของกำลังคนภาครัฐ รวมกว่า 3 ล้านคน แบ่งเป็นข้าราชการ จำนวน 1.75 ล้านคน ประเภทอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการ (พนักงานจ้าง พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานกระทรวงสาธารณสุข พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานองค์การมหาชน) จำนวน 1.24 ล้านคน
สำหรับโครงสร้างวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 67 กำหนดกรอบวงเงินเอาไว้รวม 3.48 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายจ่ายประจำ ซึ่งรวมถึงเงินเดือนข้าราชการ และเงินเดือนลูกจ้าง เอาไว้ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 2.61 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75.28% ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อน 2.17 แสนล้านบาท