ต่างประเทศ
'ไบเดน' ตอกสื่อถามยกหนี้การศึกษาไม่ยุติธรรม ชี้พอลดภาษีคนรวยยุติธรรมไหม
ก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศการยกเลิกหนี้การศึกษาสูงสุดถึง 10,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.6 แสนบาท) ให้แก่นักเรียนในระบบรัฐบาลกลาง สำหรับชาวสหรัฐฯ มากกว่าหลายล้านคนที่ยังคงติดหนี้การศึกษาอยู่ โดยผู้ที่ได้รับการยกเลิกหนี้จะต้องมีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 125,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.4 ล้านบาท)
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากการแถลงเรื่องกดยกหนี้การศึกษา ไบเดนถูกผู้สื่อข่าวสอบถามว่าการยกเลิกหนี้การศึกษาจะยุติธรรมต่อผู้ที่เคยจ่ายหนี้ไปก่อนหน้านี้หรือไม่ ก่อนที่ไบเดนจะหันกลับมาตอบว่า “มันยุติธรรมไหมสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจหลายล้านดอลลาร์ ถ้าพวกเขาเห็นหนึ่งในคนเหล่านี้ได้รับการลดหย่อนภาษีทั้งหมด มันยุติธรรมไหม คุณคิดว่าไง”
ก่อนหน้านี้ในช่วงยุครัฐบาลรีพับลิกันของ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการประกาศนโยบายลดหย่อนภาษีจำนวนมากให้แก่ผุ้มีรายได้สูงของประเทศ โดยในการกล่าวสุนทรพจน์ระดมทุนศึกเลือกตั้งกลางเทอมของไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ชี้ว่า ทรัมป์และรีพับลิกันได้สร้างภาระขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 72.4 ล้านล้านบาท) ในการลดภาษีเพื่อคนรวย ในขณะที่ไบเดนและเดโมแครตเข้ามาจัดการกับเรื่องดังกล่าวด้วยการออกกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ
ไบเดนจะยกเลิกหนี้จำนวนกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.2 แสนบาท) ให้แก่นักเรียนในกองทุนเงินช่วยเหลือเพลล์แกรนต์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งจัดตั้งขึ้นไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนรายได้ “ผู้คนจะได้คลานออกมาจากใต้กองภูเขาหนี้สักที” ไบเดนระบุ
จากการประมาณการพบว่า มีชาวสหรัฐฯ จำนวนกว่า 43 ล้านคน ที่ติดหนี้การศึกษาของรัฐบาลกลาง ซึ่งคิดเป็นเงินมูลค่ารวมกันกว่า 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 57 ล้านล้านบาท) โดย 1 ใน 5 ของผู้ติดหนี้การศึกษาของรัฐบาลกลางกู้ยืมเงินไปในอัตราที่ต่ำกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐฯ
“ผมจะไม่มีวันขอโทษที่ได้ช่วยคนอเมริกันผู้ทำงานและคนชั้นกลาง” ไบเดนระบุก่อนกล่าวเสริมว่า “ไม่มีบุคคลที่มีรายได้สูง หรือครัวเรือนที่มีรายได้สูงจะได้รับประโยชน์จากการมาตรการนี้” อย่างไรก็ดี พรรครีพับลิกัน และสมาชิกจากพรรคเดโมแครตสายกลางวิจารณ์ว่า การยกเลิกหนี้การศึกษาจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม เนื่องจากประชาชนจะมีเงินในกระเป่าให้ใช้มากขึ้นกว่าที่มีมากอยู่แล้ว ในขณะที่บางฝ่ายมองว่ามาตรการนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้ที่เคยจ่ายหนี้ไปก่อนหน้านี้
