ที่มัสยิดนูรุ้ลอิสลาม เขตสวนหลวง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สิทธิ นาคนาวา ผู้สมัครฯ ส.ก. เขตสวนหลวง พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่รับฟังปัญหาสภาพความเป็นอยู่ภายในชุมชนชาวมุสลิมหลังการละหมาดวันศุกร์ และการปรับตัวช่วงรอมฎอนภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19

วิโรจน์ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับอิหม่ามผู้นำชุมชนตรงนี้ ได้รับทราบถึงปัญหาเรื่องการกระจายงบประมาณจากส่วนกลาง โดยภายหลังการหารือเห็นว่า ชุมชนทุกเขตควรได้รับการจัดสรรงบประมาณ แล้วสามารถทำการตัดสินใจกันเองได้ว่าจะนำไปใช้ทำอะไรบ้าง ย่อมตอบโจทย์แต่ละชุมชนได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการขุดลอกคูคลองภายในชุมชน ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจไม่เป็นไปตามแผนดำเนินโครงการที่วางเอาไว้ เมื่องบประมาณตกไม่ถึงมือประชาชนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ปัญหาน้ำเอ่อล้นจนท่วมขังในชุมชนจึงเกิดขึ้นตามมา

เมื่อถามถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองในฐานะผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. วิโรจน์ กล่าวว่า จุดแข็งคือการที่ประชาชนเชื่อมั่นในความเชื่อของตนที่ว่า การบริหารเมืองต้องคำนึงถึงการคืนกติกาที่เป็นธรรมร่วมด้วย มิเช่นนั้นปัญหาซ้ำซากก็จะเกิดขึ้นเหมือนเดิม ตนและพรรคก้าวไกลตั้งใจที่จะคืนกรุงเทพฯที่เป็นอนาคตใหม่สำหรับทุกคน หากได้เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครบวาระ 4 ปีไปแล้ว เมืองนี้ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล พร้อมเปิดรับความท้าทายใหม่ๆ และไม่ว่าผู้ว่าฯกทม.คนใหม่จะเป็นใคร ปัญหาเดิมๆ จะไม่วนกลับมาอีก เพราะกติกาทั้งหมดถูกแก้ไขให้เป็นธรรมแล้ว

ส่วนเรื่องคะแนนนิยมภายในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น New Voter วิโรจน์ เปิดเผยว่า ค่อนข้างมั่นใจ ซึ่งสุดท้ายแล้วผลโพลจริงๆ จะสะท้อนออกมาในวันเลือกตั้งเอง ทั้งนี้ จากผลการสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้จัดทำขึ้นมาจำนวนมากพอสมควร ยอมรับว่าทำให้ยิ้มได้ ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลไม่เคยคิดว่าใครเป็นฐานเสียง ไม่เคยคิดว่าประชาชนมีเจ้าของ เพราะต้องมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อนำเสนอทั้ง 12 นโยบาย ซึ่งสามารถสื่อสารไปได้อย่างตรงเป้าตรงประเด็น

“ทุกวันนี้ ตนลงพื้นที่พบปะประชาชนตลอด และไม่เคยหนีดีเบตสักครั้ง มองว่าการดีเบตคือการเคารพประชาชน เพราะเขาอยากฟัง อยากถามคำถามเราผ่านสื่อมวลชน การหนีดีเบตต่างหากคือการไม่เคารพประชาชน” วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย