ที่จัตุรัสแมงเกอร์ ในเมืองเบธเลเฮม ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระเยซู ที่อยู่ในเขตเวสต์แบงค์ของปาเลสไตน์ ห่างจากกรุงเยรูซาเลมลงมาทางใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร มีชาวคริสต์และนักท่องเที่ยวเดินทางมาค่อนข้างน้อยในวันคริสต์มาสปีนี้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากนักท่องเที่ยวส่วนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทำให้ชาวปาเลสไตน์ออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่ จนปะทะกับเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล และมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจากการปะทะกันไปแล้ว 12 ราย
บริษัทที่ให้บริการท่องเที่ยวในปาเลสไตน์เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากตัดสินใจยกเลิกการเดินทางมายังเมืองเบธเลเฮม ซึ่งปกติแล้วจะคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในช่วงวันคริสต์มาส โดยกล่าวโทษนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้บรรยากาศในเมืองเบธเลเฮมเงียบเหงาในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองเช่นนี้
ผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ใส่ชุดซานตาคลอส หรือเซนต์นิโคลัส ประท้วงต่อต้านอิสราเอล ที่หน้ากำแพงกั้นเขตแดนเมืองเบธเลเฮม สถานที่ประสูติของพระเยซูในเขตเวสต์แบงก์
ด้านโป๊ปฟรานซิส พระประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาธอลิก ทรงประกอบพิธีมิสซาเนื่องในคืนคริสต์มาสที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครวาติกัน โดยทรงระบุว่าขอให้ทั่วโลกอย่าละเลยชะตากรรมของผู้อพยพลี้ภัยหลายล้านคนทั่วโลก ที่ต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิดด้วยความจำเป็น และต้องละทิ้งคนที่รักไว้เบื้องหลัง โดยทรงเปรียบเทียบชะตากรรมของผู้ลี้ภัยว่าเหมือนกับแมรีและโจเซฟ ที่ต้องหลบหนีจากนาซาเรธไปยังเบธเลเฮม แต่กลับไม่มีใครให้ที่พักพิง จนต้องไปหลบในโรงนา ซึ่งกลายเป็นที่ประสูติของพระเยซู
โป๊ปยังทรงตรัสด้วยว่า ศาสนาคริสต์สอนให้ทุกคนเปิดกว้างต่อคนต่างชาติต่างภาษา เสมือนกับว่าเป็นเพื่อนบ้านของตนเอง เพราะผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมาก ต้องหนีมาจากบ้านเมืองที่ปกครองโดยผู้นำซึ่งไม่ลังเลที่จะสังหารผู้บริสุทธิ์
โป๊ปฟรานซิสทรงจุมพิตรูปจำลองพระเยซูคริสต์ ในการประกอบพิธีมิสซาคริสต์มาส เที่ยงคืนของวันที่ 25 ธันวาคม ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน
พระดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสของโป๊ปฟรานซิส สอดคล้องกับจุดยืนของพระองค์ ที่ทรงต่อสู้เพื่อผู้ยากไร้และผู้ลี้ภัยมาโดยตลอด และพระองค์เองก็ทรงเป็นลูกหลานผู้อพยพชาวอิตาเลียนที่โยกย้ายไปอาศัยในอาร์เจนตินา โดยปัจจุบัน สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้ลี้ภัยทั่วโลกกว่า 22 ล้านคน
ภาพ: AP