นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เผยว่า ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ปตท. มีรายได้จากการขาย 1,142,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102,748 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.9 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีกำไรจากผลการดำเนินงาน (operating income) มีจำนวน 54,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,915 ล้านบาท หรือร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มีจำนวน 40,067 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติของโรงแยกก๊าซฯ ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้น จากกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากที่โรงแยกก๊าซฯ ซ่อมบำรุงใหญ่ในช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ปตท. ยังมีรายได้อื่นจากเงินปันผลและกำไรจากการขายเงินลงทุนในกองทุนรวม จำนวน 5,260 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 5,050 ล้านบาท จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับงวดก่อน
ขณะที่ ผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม ปตท. อาทิ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) มีจำนวน 44,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,379 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.5 จากปีที่แล้ว ที่มีจำนวน 35,455 ล้านบาท ดีขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น
ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 99,816 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,294 ล้านบาท หรือร้อยละ 32.2 จาก 75,522 ล้านบาท เป็นผลมาจากกำไรของผลการดำเนินงาน ปตท. จำนวน 54,982 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. จำนวน 44,834 ล้านบาท ดังกล่าว
ผลการดำเนินงานที่ดีส่งผลให้ ปตท. มีศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศในระยะยาว ควบคู่กับการยกระดับกิจการเพื่อสังคม (CSR) ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) และสามารถตอบสนองนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และร่วมพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเล่ย์ จ.ระยอง ให้เป็นเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรม รองรับการลงทุนจากต่างประเทศ ยกระดับขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
“นอกจาก ปตท. จะขยายการลงทุนและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ ช่วงที่ผ่านมา ยังขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคมต่อเนื่อง เช่น การทยอยปรับราคาก๊าซ NGV เพื่อให้กระทบผู้บริโภคน้อยที่สุด และล่าสุด ปตท. ยังได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับดีเลิศ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการประเมิน ติดต่อกันเป็นปีที่ 9 และติดหนึ่งใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการ บริษัทจดทะเบียน ปี 2560 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”นายเทวินทร์ กล่าว
รายงานโดย วชิราภรณ์ นาสวน