อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ สำลี รักสุทธี พ้นจากความเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะส่งผลให้มีการเลื่อนลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อในส่วนของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ว่า ต้องศาลรัฐธรรมนูญตีความ ไม่รู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญหาทางออกหรือไม่เพราะ สำลี ตอนที่เข้ามาเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ของพรรคอนาคตใหม่ และพรรคอนาคตใหม่ได้ยุบไปแล้ว และ สำลีเลือกที่จะมาสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ฉะนั้นการที่ สำลีพ้นตำแหน่ง ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะเลื่อนจากพรรคไหนมา นี่เป็นเรื่องตีความของศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวพรรคภูมิใจไทยจะยื่นให้ศาลตีความหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ตนหารือในพรรคก่อน เพราะก็ไม่ได้เป็นส่ิงที่คิดจะเกิดขึ้น และเราก็ถือว่า สำลีเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยโดยสมบูรณ์ และเป็นประเภท ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเมื่อสำลี พ้นไปก็ต้องมาเติมมาทดแทนเพื่อให้ครบ ก็ต้องหารือในพรรคก่อนว่าจะยื่นตีความหรือไม่เพราะพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่มีแล้ว ตอนที่ตั้งพรรคก้าวไกลสำลี ก็มาอยู่พรรคภูมิใจไทยแล้ว ทั้งนี้ดีที่สุดให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ผู้สื่อข่าวถามว่า รังสิมัน โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่าหากจะมีการเลื่อนก็ควรมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อนุทิน อย่าให้ผมบอก หรือให้ใครบอกเลย เพราะเรามีศาลรัฐธรรมนูญที่จะตีความอยู่แล้ว การพ้นตำแหน่งของ สำลี เพราะพ้นตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ต้องใช้หลักการทางกฎหมายในการหาความชัดเจน
เมื่อถามว่า ตำแหน่งส.ส.บัญชีรายชื่อของ สำลี ไม่ควรเว้นว่างไปเลยหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า "โดยหลักการแล้วไม่ควร โดยเวลาที่เหลืออยู่ก็แล้วแต่ไม่ซีเรียส"
นอกจากนี้ อนุทินกล่าวถึงกระแสสังคมเปรียบเทียบ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เปรียบว่าขณะนี้มีนายกฯ สองคนว่า อย่าไปเทียบ คนที่เทียบก็มีแต่สื่อมวลชนเท่านั้น ทุกคนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ชัชชาติ ก็มาจากการเลือกตั้งของคนกรุงเทพฯ จำนวน 1.3 ล้านคน ส่วนพวกเราในสภาฯ ก็มาจากการเลือกตั้งของคนทั้งประเทศ บางพรรคก็ 8 ล้านเสียง บางพรรคก็ 4 ล้านเสียง ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างกัน สำคัญคือเข้ามาทำงานให้บ้านเมือง พวกเราก็หนักเหมือนกันเพราะต้องทำให้ประเทศ เพราะอาศัยเสียงทั้งประเทศเข้ามากลายเป็น ส.ส.ประเทศไทย ไม่ใช่ ส.ส.จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ต้องทำงานหนักเหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัาหน้าพรรครักประเทศไทย ระบุว่า อนุทิน เหมาะสมเป็นนายกฯหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเพราะมีความประนีประนอมสูง อนุทิน กล่าวว่า หน้าที่เป็น ส.ส.ก็ลงพื้นที่ ลงพื้นที่มันก็สนุกเมื่อถามว่าหรือนายอนุทินไม่อยากตกเป็นเป้า อนุทิน กล่าวว่า ไม่อยากเป็นเป้า ขอแค่ได้ทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า นายกฯได้ส่งสัญญาณปรับ ครม.หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ไม่มี ไม่เห็นจะปรับเลย เพราะระยะเวลาเหลือ 9 เดือนหรือน้อยกว่านั้น แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับนายกฯ อำนาจใครอำนาจมัน ส่วนพรรคภูมิใจไทยไม่มีอะไรเสียหาย แต่ไม่ใช่เลือกตั้งในเร็วๆนี้ แต่ส่วนใหญ่ปีสุดท้ายจะลงพื้นที่กันหมด อย่าเมื่อเช้าตนก็ลงพื้นที่ จังหวัดสระบุรีเพื่อปราบยุงลาย และรีบมาสภา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าว ในอนาคตพรรคภูมิใจไทย อาจไปร่วมงานกับ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นไปได้หรือไม่ อนุทิน แปลกใจกับคำถามพร้อมระบุว่า ไม่มี อย่างที่ตนเคยบอกของบางอย่าง มันไม่ต้องแทง เพราะมันคอนโทรลเป้าหมายไม่ได้ การเลือกตั้งตนกล้าพูดจะมาไหม 10 หรือ 20 คน มันก็ต้องรอผลของการเลือกตั้งให้เรียบร้อย อย่างที่ตนบอก3-4 ทุ่มของวันอาทิตย์ที่เลือกตั้งค่อยคิด จริงๆเป็นแบบนี้มาตลอด คิดอะไรมากก็ไม่ได้ เพราะคิดก่อนถึงเวลาไม่เป็นไปตามนั้น ก็ต้องถูกเทอยู่ดี มีใครถูกเทเท่ากับพรรคภูมิใจไทย พรรคภูมิใจไทยถูกเท 2-3 รอบเข็ดจนตาย ตอนนี้เทคนอื่นบ้างสิ
เมื่อถามถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เสถียรภาพของรัฐบาลยังดีอยู่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า หน้าจะโอเค เพราะสังเกตจากบรรยากาศในการพบปะ กันไม่ว่าจะเป็นประชุมครม. หรือ นายกฯ เรียกประชุมวงเล็ก หรือ การไปทำกิจกรรมต่างของครม.ทุกคนก็มีความร่วมมือก็ยังเคารพหัวหน้ารัฐบาลเป็นอย่างดี
เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลไม่น่าห่วง แต่พรรคพลังประชารัฐไม่เหมือนเดิมแล้ว หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบอกว่า ต้องไปถามหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่หากถามสถานการณ์ล่าสุดในที่ประชุมครม. นายกฯก็กำชับให้หัวหน้าแต่ละพรรคไปดูแลเสียงของส.ส.ของพรรคตัวเองให้ดีที่สุด หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนหลักก็บอกไม่ต้องห่วง ไม่เพียงแต่งบประมาณ ยังรวมไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย ท่านก็ตบโต๊ะปั้ง เราก็เชื่อ ถ้าไม่เชื่อแล้วจะไปเชื่อใคร
หากไม่เป็นตามนั้นก็ต้องมีต้นทุนที่สูญเสียไป ผิดเกมมากๆ ต้นทุนก็เสี่ยงต่อการถูกเสียงฝ่ายค้านมากกว่ารัฐมนตรีคนไหนถูกไม่ไว้วางใจมากกว่าก็ต้องพ้นตำแหน่ง หรือถ้าไปกดดันมากๆ พ.ร.บ.ไหนก็ไม่ผ่าน นายกฯก็ต้องไปคิดสะระตะ แล้วว่า ถ้าควบคุมคนไม่ได้ก็ไปว่ากันใหม่ โดยนายกฯอาจต้องใช้สิทธิของนายกฯประกาศยุบสภาฯ
แต่ละคนจะมีอำนาจหน้าที่ของตัวเอง มีภารกิจของตัวเองที่ต้องไปทำ และในส่วนของเราตนก็ทำให้ดีที่สุด ซึ่งตนกล้าพูดเลยว่าถ้าเป็นห่วงในส่วนของพรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลคือไม่ต้องห่วง ตนรับผิดชอบและยืนยันว่าไม่มีเท ไม่มีแหกคอก ตราบใดที่ยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ก็จะไปด้วยกันอย่างนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ห่วงหรือไม่ความนิยมของพรรคภูมิไทยจะดิ่งลง อนุทิน กล่าวว่า ตนเชื่อว่าประชาชนแยกแยะได้ พวกเราเป็นรัฐบาล รัฐมนตรีทุกคนทำงาน ไม่ใช่ว่าเมื่อมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แล้ว พรรคใดพรรคหนึ่งอ่อนแอนลง และกลายเป็นจุดเสียหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนที่เป็นรัฐมนตรีก็ทำหน้าที่รัฐมนตรี หน้าที่รัฐบาล ซึ่งในรัฐบาลก็มี รัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากพรรคใด แต่มาจากโควต้ากลาง และรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ให้ดูที่ผลงานของแต่ละกระทรวงดีกว่า