ไม่พบผลการค้นหา
รายงานคณะอนุกรรมมาธิการพิจารณาศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพ และติดตามการบังคับใช้กฎหมายด้านการสาธารณสุข ระบุชัด 'บุหรี่ไฟฟ้า' ควรเป็นทางเลือกของผู้สูบบุหรี่ ชี้มีความเสี่ยงน้อยการบุหรี่มวน นำขึ้นบนดิน ปิดทางการรีดไถประชาชน เพิ่มรายได้รัฐจัดเก็บภาษี

คณะอนุกรรมมาธิการพิจารณาศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพ และติดตามการบังคับใช้กฎหมายด้านการสาธารณสุข ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข เผยแพร่รายงานการศึกษานโยบายในการควบคุมยาสูบ ผลกระทบจากปัญหาการลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมายทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ของประเทศ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคจากการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวางกรอบการพิจารณาในประเด็นของ บุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะ

การศึกษามีทั้งการศึกษาจากข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มีการเชิญหน่วยงาน องค์กร และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่างๆ มาให้ข้อมูล โดยผลการจากศึกษาพบว่า 

ที่ผ่านมาการสูบบุหรี่ถือเป็นปัญหาต้นๆ ต่อการสาธารณสุข ที่ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมหศาลเพื่อจำเป็นสวัสดิการใมนการรักษาผู้ป่วย มีคนไทยเสียชีวิตจาการสูบบุหรี่ปีละประมาณ 70,000 คน จากข้อมูลสำนักงานสถิตแห่งชาติ เมื่อปี 2564 พบว่า จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยมีจำนวนอยู่ที่ 9.9 ล้านคน และลดลงเพียง 8 แสนคนเท่านั้นเมื่อเทียบกับข้อมูลเมื่อปี 2560 

แม้ประเทศไทยจะได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศผู้นำด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบอันดับต้นๆ ของโลก และได้รับรางวัลและการยกย่องในระดับนานาชาติว่ามีมาตรการควบคุมและกฎหมายที่เข้มงวด มีการ ปรับขึ้นภาษีบุหรี่อย่างสม่ำเสมอ และมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายการรณรงค์ที่เข้มแข็ง มีงบประมาณใน การปฏิบัติภารกิจจากทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่อัตราการลดลงของผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยกลับไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

เป็นไปได้หรือไม่ว่า แนวทางการบริหารจัดการปัญหาผลกระทบจากการสูบบุหรี่ ยังเดินมาไม่ถูกทาง


รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้ว กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าทดแทนบุหรี่มวน

เมื่อไปที่กฎหมาและมาตราการในการควบคุมการสูบบุหรี่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง อังกฤษ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ กรีซ และหลายประเทศในยุโรป พบว่ามีการอนุญาติให้ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่อย่าง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เข้ามาทดแทนการสูบบุหรี่มวน เนื่องจากมีข้อมูลในทางวิทยาศาสตร์รองรับว่า มีความอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่มวนที่มีการเผาไหม้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงมีสารนิโคตินซึ่งเสพติดและไม่ได้ปลอดภัยโดยสิ้นเชิง แต่นิโคตินก็ไม่ได้เป็นสาเหตุ หลักที่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงจากการสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า จึงถูกจัดให้เป็น ‘ทางเลือก’ ของผู้ที่ต้องการจะลด หรือเลิกสูบบุหรี่มวน

ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลของ Rocket Media Lab อ้างอิงจากข้อมูลของ ศูนย์ธรรมาภิบาลนานาชาติในการควบคุมยาสูบ (Global Centre for Good Governance in Tobacco Control หรือ GGTC) พบว่า มีประเทศที่อนุญาติให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้ภายใต้การควบคุมอยู่ 73 ประเทศ มี 3 ประเทศที่อนุญาติให้ขายได้เฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีนิโคติน และมี 3 ประเทศที่สั่งห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า

จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการทั้งข้อมูลที่ได้รับจากการประชุมและข้อมูลจากรายงานทางวิชาการ บทความทั้งในและต่างประเทศ พบว่าประเทศที่นวัตกรรมยาสูบรูปแบบใหม่เหล่านี้ ถูกควบคุมและเป็นสินค้าถูกกฎหมาย สามารถช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ประเทศอังกฤษที่อัตราการสูบบุหรี่ลดลงต่ำสุดในประวัติศาสตร์คือจากปี 2556 ที่ร้อยละ 18.4 ลดลงจนเหลืออยู่เพียงร้อยละ 13.3 ในปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันนโยบายสนับสนุนการใช้ บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่ หรือประเทศญี่ปุ่นที่อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ร้อยละ 19.3 ในปี 2556 ลดลงอยู่ที่ ร้อยละ 13.1 ในปี 2562เป็นต้น


บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าบุหรี่มวนหลายเท่าตัว

สาเหตุที่ประเทศพัฒนาแล้วเลือกที่จะให้ บุหรี่ไฟฟ้า ถูกกฎหมายขายได้ภายใต้การควบคุม และให้ประชาชนเลือกบริโภคแทนบุหรี่มวนนั้น ในรายงานของคณะอนุกรรมาธิการได้รวบรวมเหตุผลไว้ดังนี้ 

1.ให้สารพิษกับร่างกายน้อยกว่าบุหรี่มวน

  • หน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษ Office of Health Improvement and Disparities (OHID) ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการคาดการณ์ว่า บุหรี่ไฟฟ้า ปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดูเป็นการประมาณที่สมเหตุผล และการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลเสียต่อร่างกายน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับการยังคงสูบบุหรี่มวนต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายเลย 
  • ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ของประเทศอังกฤษ ระบุว่า แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถบอกถึงผลเสียในระยะยาวของการใช้บุหรี่ได้ แต่จากข้อมูลที่มีอยู่สามารถบ่งชี้ได้ว่า ความเสี่ยงของบุหรี่ไฟฟ้า มีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของบุหรี่มวน
  • The National Academies of Sciences Engineering Medicine (NASEM) เปิดเผยว่า “มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ พบว่า ยกเว้นนิโคติน พบการสัมผัสสารพิษจากบุหรี่ไฟฟ้า (ภายใต้เงื่อนไขการใช้แบบปกติ) น้อยกว่าการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม”
  • ขณะที่รัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศนิวซีแลนด์ ขี้ว่า “ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าคือ การที่บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ปราศจากอันตราย สารพิษที่พบในไอละอองของบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงสารก่อมะเร็ง โดยทั่วไปพบในระดับที่ต่ำกว่าบุหรี่มวน หรือพบในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย

2.ละอองบุหรี่ไฟฟ้ามีปริมาณสารพิษน้อยกว่าควันบุหรี่มวน

ในรายงานของคณะอนุกรรมมาธิการได้อ้างอิงถึงงานวิจัยต่างประเทศหลายชิ้น ซึ่งให้ข้อมูลว่า 

  • ระบบการให้ความร้อนใบยาสูบของผลิตภัณฑ์ IQOS มีการปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์ อะซีตัลดีไฮด์ และอะโครลินน้อยกว่าบุหรี่มวนปกติ 91.6 , 84.9 และ 90.6 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
  • ระบบการให้ความร้อนใบยาสูบ แบบ IQOS ไม่มีการเผาไหม้ ซึ่งตรงข้ามกับบุหรี่มวน ทำให้สารประกอบที่เป็นอันตรายและอาจเป็นอันตรายลดลงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ 
  • การศึกษาพบว่าการเปลี่ยนจากบุหรี่ไปเป็นระบบการให้ความร้อนใบยาสูบ IQOS พบว่าตัวชี้วัด ทางกายภาพที่เป็นสารอันตราย 15 ชนิดลดลง แต่พบว่าหลายตัวชี้วัดทางกายภาพหลายชนิดลดลง ใกล้เคียงกับกลุ่มที่เลิกบุหรี่
  • ผู้สูบบุหรี่ที่เปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าในระยะเวลา 5 วัน พบว่ามีการลดลงของการสัมผัสสารที่เป็นอันตรายและสารพิษน้อยลง จากการวัดปริมาณสารชีวภาพในปัสสาวะ เลือด และทางเดินหายใจ และปริมาณสารชีวภาพบางตัวที่พบในคนที่เปลี่ยนจากการสูบบุหรี่มาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า แทบจะไม่แตกต่างจากผู้ที่เลิกบุหรี่อย่างสิ้นเชิง เช่น เบนซีน 1-3 บูตาไดอีน อะคริโลไนไตรล์

3.มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งน้อยกว่าเพราะไม่มีการเผาไหม้

  • United Kingdom National Health Service ในสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า “บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง แต่ก็มีความเสี่ยงนส่วนที่น้อยเทียบกับความเสี่ยงของ บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าไม่เกิดทาร์และคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่อันตรายในควันบุหรี่ ในน้ำยา และไอมีสารเคมีที่เป็นอันตรายเช่นเดียวที่พบในควันบุหรี่แต่มีปริมาณที่ต่ำกว่ามาก”
  • สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า “การศึกษาพบว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าดูเหมือนจะอันตรายน้อยกว่าบุหรี่แบบทั่วไป เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้มีกระบวนการเผาไหม้ใบยาสูบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดสารประกอบทางเคมีมากกว่า 7,000 ชนิด รวมถึงสารที่ก่อมะเร็งอย่างน้อย 70  ชนิด แต่ผลต่อสุขภาพระยะยาวยังไม่เป็นที่แน่ชัด
  • German Federal Risk Assessment Institute ในประเทศเยอรมันระบุว่า “การศึกษาของเรายืนยันว่าระดับของสารก่อมะเร็งที่สำคัญลดลงอย่างเห็นได้ชัดจาก การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดให้ความร้อนแต่ไม่เผาไหม้ เมื่อเทียบกับบุหรี่ยาสูบแบบธรรมดา และ การตรวจสอบการปลดปล่อยสารก่อมะเร็งเหล่านี้ มีการใช้เครื่องสูบบุหรี่ที่ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและ สามารถตรวจสอบซ้ำได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงและความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์”

อย่างไรก็ตาม ทุกงานวิจัยยังไม่สามารถบ่งชี้ถึงผลกระทบในระยะยาวได้ เนื่องจากนวัตกรรมบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่งเกิดขึ้นมาประมาณ 10 ปี เท่านั้น แต่บ่งชี้ได้ชัดว่าในระยะสั้น การใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงน้อยกว่าบุหรี่มวนที่มีการเผาไหม้


การแบนบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ฟังก์ชั่น ใต้ติดมีขายเพียบ ควบคุมสินค้าไม่ได้

ความเห็นของ นพ.เอกภพ เพียรวิเศษ ในฐานะคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข และรองประธานคณะอนุกรรมมาธิการ พิจารณาศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพ และติดตามการบังคับใช้กฎหมายด้านการสาธารณสุข ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับ วอยซ์ ระบุว่า 

ในปัจจุบันแม้จะมีการประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้จริง เพราะยังเห็นมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้ทางคณะกรรมการควบคุมยาสูบอาจจะบอกว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แต่เมื่อมาดูข้อกฎหมายแล้วก็ไม่ได้ให้อำนาจกับตำรวจ หรือศุลกากรในการเข้าจับกุมผู้สูบ นั่นหมายความว่าการแบบนี้คือการ แบนทิพย์ หรือการแบนที่ไม่มีอยู่จริง

หากเรายอมรับในทางหลักวิชาการ และย้อนกลับมาดูกฎหมายของประเทศเวลานี้แม้จะมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างทั่วไป แต่ยังไม่มีการออกกฎหมายมาควบคุมจัดการ สถานะการณ์เช่นนี้จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคเสียผลประโยชน์ แต่ถ้ามีการนำบุหรี่ขึ้นมาบนดิน ทำให้ถูกกฎหมายเหมือนบุหรี่มวน ก็จะทำให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครอง เพราะจะมีขั้นตอนของการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ มีการรับรองมาตรา และสามารถควบคุมการซื้อขายในกลุ่มเยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปี รวมทั้งกำหนดโทษสำหรับการซื้อขายโฆษณาออนไลน์ได้


ปล่อยบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ใต้ดิน ยิ่งเพิ่มช่องทางการรีดไถ

ผลการศึกษาของคณะอนุกรรมมาธิการซึ่งได้เผยแพร่นี้ ระบุว่า คณะอนุกรรมาธิการพบว่าหลังจากการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้า ต้องห้ามมานานกว่า 8 ปี โดยยังไม่มีการศึกษาและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กลับสร้างปัญหาอัน ไม่พึงประสงค์มากมาย อาทิ 

ความสับสนในตัวบทกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ได้เป็น ผู้ขายหรือผู้นำเข้า มีการร้องเรียนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาศัยช่องว่างและการตีความและความไม่รู้เท่าทันในข้อกฎหมายของพี่น้องประชาชน ในการข่มขู่ รีดไถ ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงการปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษคดีร้ายแรง 

โดยในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา สื่อหลักและสื่อออนไลน์ต่างก็ได้ให้ความสนใจกับ ประเด็นการเป็นผู้ใช้และครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการ ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่เข้ามาชี้แจงสรุปได้ว่าสำหรับผู้ใช้นั้นไม่ได้ กระทำความผิดตามกฎหมายใดๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งในประเด็นนี้คณะอนุกรรมาธิการได้เสนอต่อ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขและมีหนังสือข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานตำรวจ แห่งชาติเพื่อให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกันในภาพรวมของทั้งประเทศแล้ว


มูลค่าทางการตลาดสูง รัฐสามารถจัดภาษีเพื่อพัฒนาประเทศได้ 

การต่อต้านหรือการแบนบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายก่อให้เกิดธุรกิจใต้ดิน ส่งผลให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น และไม่เป็นสากลเมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ๆ เหล่านี้ในต่างประเทศ กระทบต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการดึงดูดนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ดังปรากฏเป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้กรณีดาราสาว ชาวไต้หวันถูกจับกุมและเกิดการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้รัฐบาลยังเสียโอกาสในการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ ดังที่นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าน่าจะสูงกว่า 6,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งอันที่จริงแล้ว หากรัฐสามารถเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อนำรายได้ไปพัฒนาประเทศ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่ารัฐสามารถหารายได้เข้ารัฐหลายพันล้านบาท

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : https://www.parliament.go.th/ewtcommittee/ewt/25_publichealth/ewt_dl_link.php?nid=399&filename=129&fbclid=IwAR3ghI1fWaCjtZoyM2znRMMU8SHzuHR12Rjk_HieCKWMlF6QoeVLT2yF8_Q