ชาวเกาหลีเหนือเดินทางออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา หรือที่เรียกว่าสภาประชาชนสูงสุด (SPA) ซึ่งเป็นเพียงส่วนเดียวในเกาหลีเหนือที่มีการเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งลักษณะนี้ครั้งที่ 2 แล้ว นับตั้งแต่นายคิมจองอึนขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ

การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเป็นหน้าที่ที่ชาวเกาหลีเหนือที่มีอายุเกิน 17 ปีจะต้องไปเลือกผู้สมัครเป็นสมาชิกรัฐสภา ซึ่งจะจัดขึ้นทุก 5 ปี การเลือกตั้งครั้งนี้ของเกาหลีเหนือน่าจะมีผู้ไปใช้สิทธิเกือบร้อยละ 100 เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 0.03 ของทั้งหมดเท่านั้นที่ไม่ได้ไปเลือกตั้ง เพราะทำงานอยู่บนเรือประมงหรือทำงานต่างประเทศ

ฟิโยดอร์ เตอร์ติสกี ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือกล่าวว่า ในวันเลือกตั้ง ประชาชนจะต่อแถวยาวเพื่อจะเลือกตั้งกันตั้งแต่เช้า เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีต่อรัฐบาลเกาหลีเหนือ และแม้จะมีคูหาอยู่ในหน่วยเลือกตั้ง แต่การเดินไปที่คูหาจะทำให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้แปรพักตร์และมีแนวโน้มจะหลบหนีออกจากประเทศ

ขณะที่บัตรเลือกตั้งจะมีรายชื่อผู้สมัครเพียงคนเดียว ไม่มีช่องให้กาใดๆ หากต้องการปฏิเสธที่จะลงคะแนนให้กับผู้สมัครคนนั้น ก็จะต้องขีดฆ่าชื่อผู้สมัคร แต่นายเตอร์ติสกีกล่าวว่า การทำเช่นนั้นอาจถูกมองว่าเป็นคนบ้าได้ เพราะการเดินเข้าคูหาไปขีดฆ่าชื่อผู้สมัครจะทำให้ถูกตำรวจติดตามอย่างแน่นอน ดังนั้น ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแทบทุกคนจะเพียงรับบัตรเลือกตั้งมาแล้วไปหย่อนในหีบเลือกตั้งทันที

อันเดร ลังคอฟ ผู็อำนวยการ Korea Risk Group กล่าวว่า การเลือกครั้งเป็นผลจากความต้องการที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเกาหลีเหนือ ด้วยการจำลองกระบวนการทางประชาธิปไตยมาใช้ในเกาหลีเหนือ

อีมินยัง นักวิเคราะห์ของสำนักข่าว NK News กล่าวว่า สื่อของรัฐบาลเกาหลีมักจะนำเสนอภาพการเลือกตั้งเป็นงานรื่นเริง เพราะการเฉลิมฉลองเป็นสิ่งสำคัญในเกาหลีเหนือ ดังนั้น เมื่อผู้ใช้สิทธิเดินออกมาหน่วยเลือกตั้งแล้ว ก็จะไปเข้าร่วมการเฉลิมฉลอง เพื่อแสดงว่าตัวเองมีความสุขที่ได้ลงคะแนนให้กับคนที่มีความสามารถไปทำงานให้ประเทศ

สภาประชาชนสูงสุด (SPA) มีหน้าที่เป็นตรายางประทับ แต่ไม่มีอำนาจใดๆ เนื่องจากกฎหมายต่างๆ จะถูกร่างขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และ SPA ก็จะรับรองกฎหมายทันที ไม่จำเป็นต้องมีการอภิปรายใดๆ และแม้ในทฤษฎีแล้วรัฐสภาจะถอดถอนคิมจองอึนออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือได้หากได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และหากได้เสียงเกิน 2 ใน 3 จะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ในทางปฏิบัติถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ที่มา BBC, The Guardian