แม้ประเทศไทยจะขึ้นติดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดจากการวัดด้วยตัวเลขเงินเฟ้อ และอัตราว่างงานที่ต่ำ ตามการคำนวณด้วยดัชนี Bloomberg's Misery Index และติดอันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดมาหลายปี
เพราะเมื่อย้อนดูอัตราการว่างงานของไทยตามข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. พบว่า ปี 2560 อัตราว่างงานไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.2 พอมาปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 และ สิ้นไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับอัตราการว่างงานของประเทศอื่นๆ อาทิ ออสเตรเลียร้อยละ 5 อังกฤษร้อยละ 3.9 สหรัฐฯ ร้อยละ 3.8 และญี่ปุ่นร้อยละ 2.5 เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการว่างงานไทยจะต่ำ แต่ปัญหาเรื่องแรงงานในประเทศไทยมีมากกว่าเรื่องการว่างงาน ในยามที่โลกเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนี้
จากรายงานของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เรื่อง สถานการณ์ผลิตภาพแรงงานไทยในปัจจุบัน - "ยังไม่แย่ แต่ไม่พอ และน่ากังวล" เปิดเผยว่า ผลิตภาพแรงงานไทย (Labor Productivity) ในปัจจุบันยังไม่แย่ ซึ่งสะท้อนจากอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในช่วง 2554-2558 ซึ่งมีระดับใกล้เคียงช่วงก่อนหน้าคือ ปี 2546-2550 ที่ประมาณร้อยละ 4 ต่อปี แต่ระดับการเติบโตดังกล่าวยังไม่เพียงพอ เนื่องจากกำลังแรงงานไทยกำลังลดลง เข้าสู่สังคมชราภาพ
ดังนั้น SCB EIC จึงประเมินว่า หากยังไม่ปรับปรุงผลิตภาพแรงงานให้ดีขึ้น เศรษฐกิจไทยอาจต้องใช้เวลา 30 ปี หรือมากกว่า ในการก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เพื่อกลายเป็นประเทศรายได้สูง
นอกจากนี้ สถานการณ์ผลิตภาพแรงงานของไทยยังมีข้อน่ากังวลหลายประการ เริ่มจากระดับผลิตภาพแรงงานที่มีการคำนวณกันทั่วไปอาจเป็นค่าที่สูงเกินจริง เนื่องจากการคำนวณส่วนใหญ่ยังไม่ได้รวมแรงงานต่างชาติเข้าไปในกำลังแรงงาน ซึ่งหากรวมแรงงานต่างชาติในกำลังแรงงาน จะทำให้ผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อคนลดลงติดลบร้อยละ 4.1 รวมถึงอัตราเติบโตของผลิตภาพแรงงานก็จะลดลงเช่นเดียวกัน
อีกทั้ง หากพิจารณาเชิงลึกยังพบว่า สาเหตุสำคัญของการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการเคลื่อนย้ายแรงงานจากสาขาการผลิตที่มีผลิตภาพแรงงานต่ำไปยังสาขาผลิตที่มีผลิตภาพแรงงานสูง แต่อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในแต่ละสาขาการผลิตกลับมีทิศทางลดลง สะท้อนว่าแรงงานในแต่ละสาขาการผลิตไม่ได้มีการพัฒนาเท่าที่ควรในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อน่ากังวลต่อการพัฒนาผลิตภาพแรงงานรวม
ในระยะต่อไป เนื่องจากแนวโน้มการเคลื่อนย้ายแรงงานเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากภาคเกษตร จะมีข้อจำกัดมากขึ้นในระยะข้างหน้าจากปัญหาต่างๆ เช่น แรงงานมีทักษะต่ำ ทำให้ไม่สามารถย้ายไปยังสาขาการผลิตที่ต้องใช้ทักษะสูงกว่าได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น นอกจากผลิตภาพแรงงานไทยจะมีระดับต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างชัดเจน ยังพบว่า เศรษฐกิจไทยมีแรงงานที่มีผลิตภาพสูงเป็นส่วนน้อยของกำลังแรงงานทั้งหมด โดยแรงงานส่วนใหญ่ของไทยมีการกระจุกตัวที่ระดับผลิตภาพต่ำ ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ระดับผลิตภาพแรงงานมีการกระจายตัวมากกว่า ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจสะท้อนว่าแรงงานส่วนใหญ่ของไทยมีทักษะต่ำ จึงอาจปรับตัวช้าและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในอนาคต
สำหรับข้อกังวลสุดท้ายคือ ทรัพยากรแรงงานและทุนของไทยมีการจัดสรรอย่างไม่มีประสิทธิภาพในหลายสาขาการผลิต โดยพบว่า สาขาเกษตรมีประสิทธิภาพการใช้แรงงานต่ำกว่าสาขาอื่น ขณะที่สาขา���าธารณูปโภค และสาขาขนส่งและโทรคมนาคมมีประสิทธิภาพ การใช้ทุนต่ำกว่าสาขาอื่น ดังนั้นหากใช้เกณฑ์การผลิตตามประสิทธิภาพ สาขาการผลิตข้างต้นก็ควรใช้ทรัพยากรแรงงานและทุนลดลงและนำทรัพยากรไปจัดสรรให้สาขาอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ทั้งนี้ การจัดสรรทรัพยากรใหม่ตามหลักประสิทธิภาพ จะทำให้ระดับผลิตภาพรวมหรือ TFP (Total Factor Productivity) เพิ่มขึ้นได้ทันทีถึงร้อยละ 20 โดยย่อมหมายถึงระดับจีดีพีจะดีขึ้น ซึ่งจะสามารถทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้เร็วมากกว่าเดิม
ดังนั้น การเพิ่มผลิตภาพแรงงานในอนาคตต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนผ่านนโยบายระดับประเทศและบริษัท โดยในระดับประเทศ รัฐควรมีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคน้ำและการขนส่งทางราง ตลอดจนการลงทุนด้านไอซีที นอกจากนี้ ยังควรปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้งานได้จริงมากขึ้น โดยควรเน้นผลิตนักศึกษาตามสายที่ตลาดแรงงานต้องการ (demand-driven) เพื่อแก้ปัญหา skill mismatch
ทั้งนี้ ภาครัฐยังควรต้องลดการผูกขาดและส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและเสรีมากขึ้น เนื่องจากระดับการแข่งขันที่เหมาะสมจะช่วยพัฒนาผลิตภาพแรงงานผ่านทั้งการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ขณะที่ด้านการดำเนินนโยบายช่วยเหลือระยะสั้นของภาครัฐ (เช่น การให้ soft loan กับ SMEs) จะต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้เกิดการกระจุกตัวของทรัพยากรในธุรกิจที่มีประสิทธิภาพต่ำ
ดังนั้น จึงควรดำเนินนโยบายยกระดับความสามารถการแข่งขันในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ในด้านนโยบายระดับบริษัท อีไอซีมองว่า บริษัทควรเพิ่มการลงทุนที่มีคุณภาพ โดยเป็นการลงทุนทั้งในส่วนของเครื่องมือเครื่องจักรและระบบไอซีที และยังรวมถึงการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมในอนาคต ตลอดจนการฝึกอบรมแรงงานที่มีคุณภาพและสม่ำเสมอ เพื่อให้แรงงานมีความรู้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ บริษัทยังควรใช้การวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) เพื่อเสริมสร้างผลิตภาพแรงงานผ่านการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เช่น การเสนอขายสินค้าได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น (customized product) หรือจะเป็นด้านการลดต้นทุนจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์มาช่วยในการจัดการ เช่น การใช้ chatbot เพื่อทำงานด้านตอบคำถาม เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :