วันที่ 31 ต.ค.2565 ที่อาคารอนาคตใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงผลสำรวจนิด้าโพล พบว่าคนกรุงเทพฯ เลือก พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 ว่า ตนขอบคุณคนกรุงเทพฯ ที่ให้กำลังใจและให้ความนิยม ซึ่งตนจะพยายามเอาเรื่องนี้เป็นแรงผลักดันที่ไม่ใช่เพียงคะแนนนิยม แต่อยากจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มุ่งมั่นมากที่สุด ขยันมากที่สุด จะได้ซื้อใจประชาชนทั่วประเทศได้ ไม่ใช่แค่เฉพาะกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว และหวังว่าพรรคก้าวไกลคือคำตอบของประเทศในยุคนี้
ส่วนที่พรรคก้าวไกล มีคะแนนจากผลสำรวจเป็นอันดับ 2 ที่คนกรุงเทพฯไว้วางใจ พิธา กล่าวว่า เรายังคงต้องทำงานหนักต่อไป และคงไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการเข้าหาประชาชน เพื่อแนะนำผู้สมัคร นโยบาย และความพร้อมในการเข้าไปบริหารประเทศในช่วงที่ปัญหาเศรษฐกิจท้าทาย เช่น ขณะนี้ GDP โตเพียง 3% เป็นอันดับ 6 ของอาเซียน เช่นเดียวกับการลงทุนที่ไทยยังตามหลังมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ทั้งที่รัฐบาลบริหารงานมา 8 ปี ใช้งบประมาณกว่า 25 ล้านล้านบาท ถ้าเปรียบเอางบประมาณจากประชาชน จะได้ครอบครัวละ 1 ล้านบาท แต่ตัวเลขคนจนกลับเพิ่มขึ้นจาก 14 ล้านคน เป็น 27 ล้านคน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจในวิกฤติเศรษฐกิจ
"ทุกวันนี้ปัญหาแก่ก่อนรวยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมีวิธีคิดใหม่ ชุดคำตอบใหม่ มีเศรษฐกิจใหม่ๆ มีอุตสาหกรรมใหม่ ที่ส่งเสริมจุดแข็งของประเทศ" พิธา กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาฯก่อนวันที่ 24 ธ.ค.นี้ พิธา ระบุว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียด แต่ตามกฎหมายแล้ว วันที่ 24 ธ.ค. ถือว่าเป็นช่วงเวลาโยกย้ายพรรคการเมืองของ ส.ส. หลายคนก่อนรัฐบาลครบวาระ จึงมองว่า เป็นสมมติฐานที่มีความเป็นไปได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะไปถึงขั้นนั้นหรือไม่
อย่างไรก็ดี พรรคก้าวไกลมีการเตรียมพร้อมรับมือกระแสข่าวยุบสภาฯมาโดยตลอด มั่นใจว่าเรื่องงูเห่าของพรรคไม่มีปัญหา ซึ่งพรรคก้าวไกลจะต้องเตรียมตัวในสองสามเรื่อง อาทิ ว่าที่ผู้สมัครฯ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ การเปิดตัวนโยบาย “การเมืองก้าวหน้า” ให้ครบทั้ง 9 เสา ที่จะต้องเร่งเปิดตัว มีการแถลงข่าวให้บ่อยขึ้น การเตรียมตัวในการระดมทุนตามระเบียบของกฎหมาย เพื่อให้มีทรัพยากรในการเข้าสู่สนามเลือกตั้ง รวมถึงการบริหารจัดการต่างๆของพรรค
อย่างไรก็ดี หากมีการยุบสภาฯเกิดขึ้น สิ่งที่กังวลคือเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม ขอสื่อสารไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องการแบ่งเขตแต่ละจังหวัดให้ชัดเจน เพื่อที่จะทำให้การหาเสียงราบรื่น ผลประโยชน์จะได้ตกสู่ประชาชน ให้พวกเขาได้ทำความรู้จักว่ามี่ผู้สมัครฯในพื้นที่ ประกอบการตัดสินใจได้ดีขึ้น