วันที่ 23 ต.ค. 2565 จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงมติของที่ประชุม กสทช.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง รับทราบการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค แบบมีเงื่อนไขว่า การที่ กสทช.อนุญาตให้สองบริษัทยักษ์ใหญ่ควบรวมกันได้ครั้งนี้จะเป็นผลเสียต่อผู้บริโภคทุกคนและเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างร้ายแรงด้วย การอนุญาตครั้งนี้เป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับหน้าที่ขององค์กรนี้ซึ่งควรจะคอยดูแลให้เกิดการกระจายและการแข่งขันในกิจการที่เกี่ยวกับคลื่นความถี่ แต่ กสทช.กลับสนับสนุนให้เกิดการผูกขาดเสียเอง
เมื่อสองบริษัทควบรวมเข้าด้วยกันก็ย่อมนำไปสู่การผูกขาดทำให้เกิดอำนาจเหนือตลาด สามารถกำหนดราคาและกำไรโดยไม่ต้องแข่งขันเท่าเดิม ผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายอื่นจะเสียเปรียบและรายใหม่จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ จะกลายเป็นการผูกขาดอย่างถาวร เมื่อธุรกิจนี้เกี่ยวของโดยตรงต่อทุกภาคส่วนและประชาชนทุกคน ผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชนทั้งประเทศนั่นเอง
นอกจากนี้เนื่องจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคมบางรายเป็นเจ้าของธุรกิจอื่นๆอีกมากมายแบบครบวงจร อย่างที่เรียกกันว่าไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ตั้งแต่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดไปจนถึงค้าปลีกมากที่สุด ปัญหาที่จะตามมาก็คือมีความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้อำนาจผูกขาดทางสื่อเป็นความได้เปรียบในการลดต้นทุนการโฆษณาให้กับกิจการของตนเอง ในขณะที่ผู้ค้ารายอื่นอื่นต้องเสียค่าโฆษณาที่แพงกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ สภาพเช่นนี้จะยิ่งทำให้การผูกขาดในระบบเศรษฐกิจของไทยยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
การที่ กสทช.สนับสนุนการผูกขาดไม่รักษาผลประโยชน์ของประชาชนในครั้งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับลักษณะและบทบาทขององค์กรที่ผิดเพี้ยนไปจนแตกต่างจากแนวความคิดดั้งเดิมในการจัดตั้งองค์กรมาจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 40 ที่ได้ระบุว่า คลื่นความถี่ถือเป็น ทรัพยากรสาธารณะ เป็นสมบัติที่ต้องจัดสรรเพื่อใช้ร่วมกันระหว่างรัฐ เอกชน และกิจการเพื่อสาธารณะประโยชน์ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
จาตุรนต์ ระบุว่า จากแนวความคิดนี้ทำให้มีการยกเลิกการผูกขาดกิจการโทรศัพท์และมีการส่งเสริมให้มีวิทยุชุมชนอย่างกว้างขวาง แต่ที่ยังทำไม่ได้คือการลดสถานีวิทยุของทหารมาแบ่งให้เอกชนหรือภาคประชาสังคม แต่ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารวิทยุชุมชนก็ถูกจำกัดลงไป
ส่วน กสทช.มีที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้มีกฎหมายจัดตั้งองค์กรขึ้นมา แต่บทบาทก็เพี้ยนไปคือแทนที่จะดูแลการกระจายคลื่นความถี่กลายมาเป็นคุณพ่อรู้ดีกำหนดว่าเนื้อหาอะไรเผยแพร่ได้หรือไม่ได้และกสทช.กลับมาเป็นผู้ผลิตสื่อเสียเองในรูปโครงการต่างๆ
แต่ที่ทำให้ลักษณะและบทบาทของ กสทช.เปลี่ยนไปมากที่สุดคือการรัฐประหารปี 2557 ที่คสช.เข้าครอบงำองค์กรนี้อย่างสมบูรณ์ทั้งในการต่ออายุและการแต่งตั้งกรรมการ การออกคำสั่งที่ลิดรอนเสรีภาพของประชาชนมาให้กสทช.มีหน้าที่เป็นเครื่องมือปิดปากสื่อมวลชนและประชาชน ที่สำคัญ กสทช.ที่ถูกครอบงำโดย คสช.นี้ยังเป็นผู้ให้คุณให้โทษธุรกิจที่มีผลประโยชน์มหาศาล เช่น เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดการประมูลและการช่วยเหลือบริษัทที่ขาดทุนเป็นหมื่นๆล้านได้ตามอำเภอใจ ไม่นับว่า คสช.สามารถเอาเงินของ กสทช.ที่ควรใช้เป็นประโยชน์ในด้านสื่อไปใช้เป็นงบกลางก็ได้ด้วย
จนกระทั่ง การลงมติการควบรวมล่าสุดนี้ ได้แสดงถึงการไม่ปกป้องผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสร้างภาวะผูกขาดคู่ในตลาดโทรคมนาคม ตามความเห็นของกรรมการเสียงข้างน้อยท่านหนึ่ง การรวมธุรกิจมีโอกาสนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันการแข่งขัน ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 40, 60, 61 และ 75 และขัดต่อแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 ที่ต้องเพิ่มระดับการแข่งขันของการประกอบกิจการโทรคมนาคม ทำให้ตลาดโทรคมนาคมตอนนี้ อยู่ในมือของผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่แห่ง และอาจปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่ เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมขึ้นได้
แม้เมื่อไม่มี คสช.แล้ว แต่การสรรหาและรับรอง กสทช.ก็ทำโดยวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช. กสทช.จึงไม่ใช่องค์กรอิสระแต่เป็นองค์กรที่ถูกครอบงำอย่างต่อเนื่องของระบอบเผด็จการที่มาจากการรัฐประหารมาหลายปีแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่ กสทช.จะสนับสนุนการผูกขาด ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและลืมไปหมดแล้วว่าองค์กรนี้มีขึ้นมาเพื่ออะไรและมีไว้ทำไม