ปล่อยให้ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ควบเก้าอี้รักษาราชการแทนนายกฯ ออกแอ็คชั่นบัญชาการ มากว่า 38 วัน
ที่สุดแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อได้อีก 2 ปี แม้จะค้านสายตาฝ่ายประชาธิปไตย ที่ปักใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ ครบ 8 ปี ไปตั้งแต่ 24 ส.ค. 2565
“การกำหนดเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา158 วรรคสี่ จึงมีความหมายเฉพาะการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับในวันที่ 6 เมษายน 2560 และผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกฯ ในคณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264”
“การดำรงตำแหน่งของผู้ถูกร้องจึงเป็นการดำรงตำแหน่งภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ จึงอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 158 วรรคสี่ ทั้งนี้ การให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จะต้องถือเอาวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นรับตำแหน่ง”
“ดังนั้นการดำรงตำแหน่งของผู้ถูกร้องจึงนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 ถึงวันที่ 24 ส.ค. 2565 ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 158 วรรคสี่ ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ อาศัยเหตุลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยเสียงข้างมากจึงวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลง” คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะได้อยู่ต่อถึง 2 ปี
แต่หากมองในกลับกัน เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ได้แค่ 2 ปี ถึงวันที่ 5 เม.ย. 2568
พล.อ.ประยุทธ์ จะกลายเป็น “สินค้าการเมือง” ที่มีอายุเพียงครึ่งเดียว บนสังเวียนเลือกตั้งที่แวดล้อมไปด้วย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่มีวาระ 4 ปีเต็ม สดกว่า ใหม่กว่า ทันสมัยกว่า หรืออาจฉลาดกว่า
พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่มา 8 ปีอย่างเป็นทางการ อาจจะบอบช้ำเต็มทน ตามที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“เขา (พล.อ.ประยุทธ์) อยู่ครบเทอมเขาไม่ได้ประโยชน์ เพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งแย่ ศรัทธาประชาชนเสื่อมไปเรื่อยๆ”
ตรงกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย หลายคนที่ “ไม่ซีเรียส” ที่ศาลรัฐธรรมนูญปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปต่อ
เพราะดูแล้วว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อจะมีประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยมากกว่า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปล่อยมือกลางคัน แล้วเปลี่ยนตัวนายกฯ เอาคนใหม่ขึ้นมา จะเป็นงานยากสำหรับพรรคเพื่อไทยมากกว่า
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ 1. นักเลือกตั้งต่างฟันธงว่าชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจ “ขายไม่ออก” ในตลาดการเมือง ต่างจากสถานการณ์ในการเลือกตั้งปี 2562 ที่ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ใช้แคมเปญ “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่”
ทว่าโจทย์ใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง มิได้อยู่ที่ “ความสงบ” แต่อยู่ที่ “ปากท้อง” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้พิสูจน์ฝีมือให้คนไทยประจักษ์ในการแก้ไขเศรษฐกิจมาแล้วกว่า 8 ปี
2.ปัญหา – ความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ทั้ง สงครามรัสเซีย – ยูเครน ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ราคาพลังงานเชื้อเพลิงพุ่งสูง ส่งผลให้ค่าครองชีพคนไทยพุ่งขึ้นตามไปด้วย แต่เงินในกระเป๋ายังมีเท่าเดิม
ดังนั้น เลือกความสงบอย่างเดียวจึงไม่พอ ดังนั้น เครือขายชนชั้นนำ - ขุมข่ายธุรกิจที่เคยเอื้อหนุน พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะหันกลับมาทบทวนว่าจะลงทุนกับ พล.อ.ประยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯ คนละครึ่งในการเลือกต้ังทั่วไปปี 2566 หรือไม่ ในกรณีถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ยอมแลนด์ดิ้งจากการเมือง และตอบรับคำเชิญพรรคการเมืองในเครือข่าย 3 ป.ไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกครั้ง ในสนามเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมแลนด์ดิ้งการเมือง คนไทยก็ยังต้องเจอหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ไปอีก 8 เดือน – 1 ปี นับจากนี้
บนสมมติฐานการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ตั้งตุ๊กตาไว้ วันที่ 7 พ.ค. 2566 จากนั้น กกต.ต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งจะตรงกับช่วงต้นเดือน ก.ค. หรือ เร็วกว่านั้น หาก กกต.ใช้เวลาไม่ถึง 60 วัน จากนั้นภายใน 15 วัน ต้องเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก
ถึงต่อให้ พรรคกการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ชนะแลนด์สไลด์ยกแผง ก็ต้องใช้เวลาในการต่อรองจัดตั้งรัฐบาล กว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่อาจกินเวลาถึง ส.ค. 2566 หรือ 3 เดือนหลังเลือกตั้ง
แต่อย่าเพิ่งท้อ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่(ในอำนาจ)ยาว ความศรัทธาต่อตัวผู้นำอาจหดหายไปยิ่งกว่าเดิม คำว่า “แลนด์สไลด์” อาจไม่ได้เป็นคำพูดลอยๆ
นายกฯ คนต่อไปอาจเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์แล้วก็ได้ ภายใต้บริบทที่สถานการณ์การเลือกตั้งปี 2566 ที่ความนิยมของตัว 'พล.อ.ประยุทธ์' เสื่อมลงไปมากและยังฉุดให้อำนาจของ 3 ป.เสื่อมลงตามไปด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง