ไม่พบผลการค้นหา
รักชนก ศรีนอก เปิดตัวเป็น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตบางบอน-หนองแขม พรรคก้าวไกล หวังทำงานการเมือง สร้างสังคมที่ประชาชนเป็นใหญ่อย่างแท้จริง

รักชนก ศรีนอก กลุ่มพลังคลับ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork โดยประกาศตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางบอน-หนองแขม ในนามพรรคก้าวไกล พร้อมระบุถึงประวัติ การศึกษา การทำงาน และความคิดทางการเมืองของตนเองว่า

เราเกิดมาในวันที่พ่อและแม่ไม่พร้อมกับการมีครอบครัว ถูกเอาไปฝากไว้บ้านนั้นทีบ้านนี้ที จนได้มาอยู่กับแม่แต๋ว แม่บุญธรรมซึ่งเป็นคนที่เลี้ยงดูเรามา ด้วยความที่ฐานะทางครอบครัวค่อนข้างลำบากอยู่แล้ว พักอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด รายได้ทุกคนไม่แน่นอน แม่บุญธรรมเองก็มีลูกถึง 6 คน แต่แม่ก็เมตตารับเราเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ด้วย ความเป็นอยู่ในวัยเด็กค่อนข้างลำบาก พี่ๆได้เรียนจบแค่ ม.3 ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองเพราะการอยู่ในระบบการศึกษามีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทุกคนปากกัดตีนถีบเพื่อเอาชีวิตให้รอด ไม่ใช่มีแค่บ้านเราบ้านเดียวที่ประสบปัญหานี้ ในชุมชนแออัดมักมีปัญหาครอบครัวยากจนทำให้เด็กๆไม่มีเงินไปโรงเรียน บางบ้านพ่อแม่ต้องให้ลูกออกมาช่วยทำงานรับจ้างหาเงินประทังชีวิต โดยให้ความสำคัญกับการศึกษาทีหลัง ปัญหาตามมาคือเด็กที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาบางส่วนจะหันหน้าเข้าสู่วงการยาเสพติด และเริ่มลักเล็กขโมยน้อย นำไปสู่ปัญหาสังคมรูปแบบอื่นๆ หลายคนที่ไม่เคยสัมผัสปัญหาอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทุกวัน นและปัจจุบันก็ยังเกิดอยู่

ในช่วงชีวิตการเรียนหนังสือของเรา ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สลับกับความโชคดีได้รับทุนการศึกษาและกู้กยศ ประวัติการศึกษา จบประถมศึกษาโรงเรียนวัดขุนจันทร์ จบชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ และ จบปริญญาตรีจาก คณะวิทยาศาสตร์ สาขาสถิติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กว่าจะได้ใบปริญญาแทบลากเลือด สิ่งที่คิดเสมอคือ เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ขัดสนและอยู่ในสังคมขาดโอกาสอย่างเรา ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะพยายามตะเกียกตะกายทุกวิถีทางให้ตัวเองยังสามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้ เพราะคิดว่าสิ่งนี้คือใบเบิกทางที่อาจจะทำให้เราและครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ลองคิดดู ว่ามีเด็กอีกกี่คนในประเทศนี้ ที่ไม่สามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้เพราะข้อจำกัดด้านต่างๆในชีวิต มีใครเคยคิดเผื่ออนาคตของพวกเค้าบ้างไหม ยังไม่นับรวมถึงคุณภาพของโรงเรียนที่แตกต่างการราวฟ้ากับเหว โรงเรียนในชนบทก็คุณภาพไม่ดีเท่าในเมือง ความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาของประเทศเราเกิดขึ้นทุกมิติ ชื่อว่าหลายคนก็เจอกับตัวเองจนซึ้งถึงกระดูก แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ยังไง เราจะทำให้มันดีขึ้นสักนิดได้ไหม?

ในวัยเด็กเราเชื่อตามที่ผู้ใหญ่สอนมาตลอดว่าคนเราทำบุญมาไม่เท่ากัน จึงเกิดมาพร้อมโอกาสไม่เท่ากัน คนที่เกิดในเกิดในตระกูลสูงศักดิ์คือคนที่ทำบุญมามาก คนที่เกิดมาจนก็ต้องยอมรับว่าทำบุญมาน้อย ในเมื่อทำบุญมาน้อยก็ต้องยอมรับชีวิตแบบนี้ซะ พอเข้าวัยทำงานก็ถูกปลูกฝังว่าต้องทำงานให้หนักคนที่ทำงานหนักถึงคู่ควรกับความสำเร็จ และชีวิตที่เป็นสุข คนที่มีชีวิตยากลำบากอยู่เป็นเพราะขี้เกียจ จนเริ่มอ่านหนังสืออ่านบทความมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนกับคนหลากหลายขึ้น ถึงได้รู้ว่าตัวเราความคิดตื้นเขินเหลือเกิน จริงอยู่คนเราเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะแตกต่างกันจึงมีโอกาสไม่เท่ากัน แต่ปัญหาเหล่านี้รัฐควรจะเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยลดช่องว่างของโอกาสที่ไม่เท่ากันนั้นให้แคบลง ไม่ใช่ทำให้มันยิ่งถ่างกว้างมากขึ้น ที่ชีวิตเรายังกากอยู่ไม่ใช่เพราะเราทำบุญมาน้อยหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะคนบริหารมันห่วย สังคมของเราสามารถดีกว่านี้ได้ เด็กๆควรได้เรียนหนังสือในระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ คนพิการควรได้รับการสนับสนุนเพื่อพวกเค้าจะได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติ ประชาชนควรได้ระบบขนส่งมวลชนที่เข้าถึงได้ทุกเส้นทางราคาสอดคล้องกันกับค่าแรงขั้นต่ำ ทุกเมืองควรมีสวนสาธารณะ สนามกีฬาสาธารณะ ห้องสมุดสาธารณะ พื้นที่ให้คนเข้าไปหย่อนใจได้โดยเป็นสวัสดิการจากรัฐ

คนเราเกิดมามีฐานะแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่รัฐต้องช่วยให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเสมอกันได้โดยที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องเกิดมาฐานะเสมอกัน

ในอดีตเราเคยเป็นคนนึงที่สนับสนุนการรัฐประหาร คิดว่าสิ่งนี้คือหนทางที่จะทำให้ประเทศสงบสุข วันเวลาได้พัดพาหลายสิ่งหลายอย่างให้ผ่านเข้ามา และตกเป็นตะกอนความคิด การเอาปากกระบอกปืนไปจ่อหัวผู้คนเพื่อให้เค้าใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบ แต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนของปัญหา ที่สำคัญอย่าคิดว่ากระบอกปืนไม่หันหาเราแล้วจะรอด ในเมื่อมันจ่อใครในประเทศนี้ก็ได้ วันนึงมันก็อาจจะเป็นคุณ หรือคนใกล้ตัวคุณได้เช่นกัน ความเขลาที่เกิดขึ้นจากโฆษณาชวนเชื่อเริ่มถูกแทรกด้วยการเริ่มตั้งคำถาม ผู้คนที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยน หนังสือหลากหลายแขนง บทความดีดีจากทุกแหล่ง วันนึงที่ผู้คนต่างก้าวออกมาเพื่อแสดงเจตจำนงว่าเราไม่ต้องการรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการรัฐประหารอีกต่อไป เราก็คือคนหนึ่งที่เข้าร่วม และแสดงออกตามสิทธิ และเสรีภาพที่ควรจะทำได้ แต่เมื่อประเทศนี้ผู้นำไม่เห็นหัวประชาชน สิ่งที่ควรเป็นสิทธิและเสรีภาพกลายเป็นเรื่องผิด นับวันรัฐยิ่งใช้อำนาจกดหัวประชาชนอย่างเปิดเผย เป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้ สุดท้ายมันก็กลับมาทำร้ายตัวเรา และคนในสังคม ถึงวันนี้เราอยากมีส่วนช่วยเรียกร้อง และลงมือทำเพื่อเอาสังคมประชาธิปไตยกลับคืนมา เราจะพยายามอย่างถึงที่สุด

การกล่าววิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อที่ไม่ตรงไปตรงมา สร้างความเกลียดชัง ความแตกแยกให้คนในประเทศ นำเสนอข่าวบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีประชาชน สร้างความชอบธรรมให้รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่หน้าศาลอาญา ทำให้เราโดนหมายเรียก ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ตัวเราต้องการเรียกร้องเพื่อตรวจสอบการทำงานของสื่อ เพราะเหตุใดประชาชนจึงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่ออย่างสุจริตไม่ได้? หลังจากนั้นไม่นานจึงได้รู้จัก “คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน” โดย คุณปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล เสนอให้เรายื่นเรื่องตรวจสอบการทำงานของสื่อเข้าในคณะกรรมาธิการ เมื่อเราแสดงความสนใจในงานของ กมธ . พี่อ๋องได้ให้โอกาสเราทำงานเป็นเลขาเพื่อเรียนรู้งาน และนำเรื่องเดือดร้อนของประชาชนที่อยากช่วยแก้ไขตรวจสอบเข้ามาพิจารณา หลังจากเข้ามาทำงานใน กมธ.​ ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบอำนาจรัฐ และหน่วยงานต่างๆ เรามีความตั้งใจที่จะเป็นปากเสียงให้กับประชาชนที่เดือดร้อนให้ได้มากที่สุด จากการตั้งคำถามกับเหล่าผู้มีอำนาจ เป็นนักฉอดในโลกโซเชียลถามไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้คำตอบ สู่โต๊ะกรรมธิการที่เราสามารถเรียกคนเหล่านั้นมาตรวจสอบการทำงาน ซักถาม พูดคุย ตำหนิ ชี้ข้อบกพร่องได้ ทำให้เราตัดสินใจว่าเราอยากทำงานนี้ต่อไป ผู้มีอำนาจควรได้ฟังเสียงที่ส่งมาจากประชาชนอย่างใกล้ชิดไม่ใช่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างแล้วโปรยเศษความช่วยเหลือลงมาให้ เรามีความตั้งใจอยากจะทำให้ประชาชนรับรู้ และเข้าใจว่าตนมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง และจะใช้มันอย่างไร ผ่านเครื่องมือไหนบ้าง ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สังคมเราเป็นสังคมที่ประชาชนเป็นใหญ่อย่างแท้จริง

เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากเห็นทุกอย่างในประเทศนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ประชาชนทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเท่าเทียม มีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ มีโอกาสก้าวหน้าทางอาชีพ มีโอกาสขยับฐานะตัวเองให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ภายใต้การปกครองที่กฏหมายถูกบังคับใช้กับทุกคนในประเทศอย่างเป็นธรรม ผู้ที่ใช้อำนาจรัฐต้องถูกตรวจสอบได้เสนอ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพ ความเสมอภาพ ภราดรภาพ

ขอบคุณเพื่อนๆ กลุ่มพลังคลับที่ช่วยกันขับเคลื่อนในเรื่องต่างๆมาตลอด ขอบคุณพรรคก้าวไกลที่ให้โอกาสเราเข้ามาทำงาน ขอบคุณครอบครัวที่สนับสนุนให้เราทำงานนี้ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เป็นกำลังใจให้มาตลอด แหม่ ขอบคุณซะเหมือนกับว่าได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แฮร่ ข้อความทั้งหมดนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางทางความคิด และเป็นเครื่องเตือนสติตัวเราเองในอนาคตเพื่อไม่ให้ลืมว่าเข้ามาทำงานตรงนี้เพื่ออะไร ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอ่านมาจนถึงตรงนี้ค่ะ

ไอซ์ รักชนก ศรีนอก

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส เขตบางบอน-หนองแขม พรรคก้าวไกล