พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ​ (สมช.) กล่าวถึงกรณีที่ วิษณุ​ เครืองาม​ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าการต่อขยาย พ.ร.กฉุกเฉินที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ออกไปหรือไม่ เป็นอำนาจของ สมช.และกระทรวงสาธารณสุข ว่า เรื่องนี้จริงๆแล้วมีความชัดเจน โดยขณะนี้นายกรัฐมนตรี ได้มีการอนุมัติแผนการให้โรคโควิด-19 เป็นโรคเฝ้าระวัง ส่วนจะต้องยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ จากการเตรียมการตัวเลขผู้ติดเชื้อ สภาพความเป็นอยู่ โดยจะมีการพิจารณาอีกครั้งในการประชุม ศบค.ครั้งหน้า

เมื่อถามย้ำว่า ความเป็นไปได้ที่จะไม่ต่อขยาย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกไปเป็นไปได้สูงใช่หรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จริงๆแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ในทางอื่น หากไม่มีการติดใจในประเด็นการเมือง​ ถือว่ามีข้อดีมากๆ เนื่องจากเมื่อมีเหตุการณ์อะไรสามารถเข้าไปจัดการได้เรียบร้อยทั้งหมด อย่างไรก็ตามต้องประเมินความเสี่ยงและแผนที่จะรองรับ และดูว่าพ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับเดิมนั้นเพียงพอหรือไม่ ซึ่งต้องมั่นใจว่าจะไม่เกิดวิกฤตและความเสียหายในมิติต่างๆเกิดขึ้นอีกหรือหากเกิดขึ้นต้องแก้ไขได้ทันท่วงที โดยเน้นให้มีแผนรองรับที่ดี และวิกฤตความเสียหายต้องไม่เกิดขึ้นอีก​ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องมีการประเมินทุกอย่างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้ แต่การจะประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มีข้อแม้ว่าจะต้องเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งการประชุม ศบค.ในวงรอบถัดไปคือเดือนหน้า น่าจะอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย.นี้

เมื่อถามว่า หากไม่มีการต่อขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และศบค.ถูกยุบจะมีแผนรองรับเช่นไรนั้น พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า หาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ถูกต่อขยาย ศบค.จะถูกยุบอย่างแน่นอน เนื่องจากเกิดมาด้วยอำนาจของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการอะไรขึ้นมาได้หมด และสามารถมอบให้อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการเหตุการณ์ หลังจากนั้นจะให้สาธารณสุขเป็นผู้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า หาก ศบค.ถูกยุบลง สมช.จะถอนบทบาทกลับมาดูในมิติความมั่นคง แต่อาจจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการที่กระทรวงสาธารณสุขตั้ง หรือเป็นหน่วย EOC อะไรก็แล้วแต่