วันที่ 7 เม.ย. 2566 ที่สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดเวทีปราศรัยใหญ่ พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขต ภายใต้สโลแกน “กรุงเทพฯ โอเค ประเทศไทยไปต่อ” เพื่อแนะนำผู้สมัครอย่างเป็นทางการ และเสนอนโยบายในด้านต่างๆ ของพรรค นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรรค พร้อมด้วย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ รทสช. เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รวมถึงแกนนำ และคณะกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ร่วมขึ้นเวทีท่ามกลางกองเชียร์ของพรรครทสช.
ทั้งนี้ พีระพันธุ์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า การทำงานต้องอาศัยความร่วมมือ และเชื่อมั่นว่า ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 33 คนในกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่มาสร้างกรุงเทพฯ แต่เราจะสร้างความมั่นคง และความสงบสุขให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน เพื่อให้ทุกคนในประเทศไทยมีความสุข และมีความภูมิใจในความเป็นชาติ และตนอยู่ในการเมืองมา 30 ปี เห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ แม้กระทั่งความขัดแย้งทางการเมืองในหลายๆ ครั้ง ดังนั้นเราไม่ได้มีประชาธิปไตย หรือเราไม่ได้มีการเมือง หรือพรรคการเมืองไว้เพื่อสร้างความแตกแยก แต่พรรคการเมืองต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ
พีระพันธุ์ กล่าวว่า พรรคมีนโยบายหลัก 4 เรื่อง เชื่อว่าทุกคนเลือกมืออาชีพมาทำงาน ซึ่งเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้ไม่นาน ก็เจอสถานการณ์โควิด ปรากฏว่าภายใต้การบริหารจัดการของนายกฯ สามารถทำให้ประเทศรอดพ้นได้ ถ้าไม่เจอสถานการณ์โควิดประเทศจะพัฒนาไปมากกว่านี้
พีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า พรรครวมไทยสร้างชาติตัดสินใจจะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไป เราจึงมีนโยบายหลัก 4 เรื่องคือ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” คือ รื้อ อะไรที่ไม่ดีในประเทศก็รื้อ ลด อะไรที่เป็นภาระปรับลดให้หมด ปลด ปลดเปลื้องพันธนาการในชีวิต สร้าง สร้างสังคมที่เอื้อเฟื้ออยู่ด้วยกัน ถ้าจะเลือกใครทำงานสักคน จะเลือกคนฝึกงานหรือมืออาชีพเพื่อเดินหน้าประเทศไทยต่อไป
“เชื่อมั่นว่า ถ้าไม่มีกฎหมายที่บอกว่า คนที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ อยู่ได้แค่ 8 ปี แต่พี่น้องเชื่อไหมว่า ถ้าในอดีตไม่มีกฎหมายนี้ เงื่อนไขนี้ ลุงตู่อยู่ต่อไม่มีที่สิ้นสุด” พีระพันธุ์ ระบุ
พีระพันธุ์ ปราศรัยด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังมาถามตนอีกว่า ประเทศไทยมีคนไทยกว่า 70 ล้านคน แต่ทำไมมีคนเพียงหยิบมือไม่รักสถาบันฯ ถ้าจะดูแลชาติบ้านเมืองต้องทำอย่างไร ตนเลยตอบง่ายมากว่า ประเทศไทยมีไว้เพื่อคนรักชาติเท่านั้น แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ แผ่นดินไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ
พีระพันธุ์ ระบุว่า ทำไมวันนี้เห็นคนไม่กี่คน หยิบมือหนึ่ง สร้างความวุ่นวายปั่นป่วน ทำไมคนไทยไม่รักชาติ ทำไมชังชาติ ทำไมไม่รักสถาบัน ทำไมจะล้มสถาบัน “คำตอบง่ายมาก แผ่นดินไทยประเทศไทยมีไว้เพื่อคนรักชาติ แผ่นดินประเทศไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ ถ้าคุณไม่ชอบคุณไม่มีสิทธิ์เปลี่ยน เพราะคนไทยทั้งชาติเขาเอา ถ้าคุณไม่ชอบเชิญไปอยู่ที่อื่น ไม่ห้าม ไปได้เลย ท่านชอบประเทศไหนไปเลย แต่ประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป ภายใต้รวมไทยสร้างชาติเราจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารวมไทยสร้างชาติเป็นแกนนำรัฐบาลเราจะจัดการกับพวกชังชาติ พวกล้มสถาบันโดยเด็ดขาด” พีระพันธุ์ กล่าว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค รทสช. ปราศรัยว่า เทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า เป็นการฉลองสงกรานต์อย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 3 ปี หลังจากที่เราพิชิตวิกฤติโควิด-19 ได้ ซึ่งการที่ประเทศไทยเปิดประเทศ เปิดธุรกิจได้เร็ว ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะคนไทยให้ความร่วมมือ มีวินัย และรัฐบาลบริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เราต้องการรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ มีประสบการณ์ พร้อมที่จะทำงานให้ต่อเนื่อง เราไม่สามารถฝากบ้านเมืองไว้กับคนที่ไม่มีประสบการณ์ ทั้งชีวิตไม่เคยทำงานอะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ มีบุคลากรที่ร่วมกันนำประเทศฝ่าวิกฤติโควิดมา เช่น สุพัฒน์พงศ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค ดังนั้นการบริหาราชการแผ่นดิน การแก้ปัญหาที่สะสมมานาน การเอาตัวรอดจวิกฤต ทำคนเดียไม่ได้ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานที่กว้างขวาง หลากหลายมาช่วยกัน ที่สำคัญที่สุด ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ว่า จะพาบ้านเมืองไปตลอดรอดฝั่ง ฝากผีฝากไข้ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีนโยบายเศรษฐกิจหลักคือ การหารายได้จากต่างประเทศให้ได้ 4 ล้านล้านบาท ภายในเวลา 2-3 ปี ซึ่งมีแผนปฏิบัติการชัดเจนว่า รายได้นี้จะมาจากไหน เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ได้แก่ ฐานผลิต รถอีวี สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ การลงทุนในโครงสร้างดิจิทัล คือ ดาต้า เซ็นเตอร์ และคลาวด์ เซอร์วิส มี AWS กูเกิ้ล หัวเหว่ย ฯลฯ ตัดสินใจเข้ามาลงทุนแน่นอนแล้ว
รายได้จาก ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ มาพำนักระยะยาวในประเทศไทย โดยรัฐบาลชุดที่แล้วได้ประกาศให้วีซ่าและใบอนุญาติทำงานอายุ 10 ปีให้กับชาวต่างชาติกลุ่มนี้ การปรับปรุงความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียซี่งครบ 1 ปี มีมูลค่าการค้ารวม 3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.64% มีโครงการลงทุนด้านพลังงานอีอีซี 3 แสนล้านบาท
“รัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ลงมือสร้างจุดแข็งของประเทศไทย เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้มีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย การส่งเสริมพลังงงานสะอาด และการประกาศเป้าหมาย เป็นประเทศที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และแผนหารายได้เข้าประเทศ 4 ล้านล้านบาท เป็นของจริง ไม่ใช่ขายฝัน เพราะได้ลงมือทำจนเกิดผลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และจะทำต่อ ในรัฐบาลหน้า” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว