ด้วย ‘บิ๊กป้อม’ เป็น ‘ตำบลกระสุนตก’ ไม่ว่าจะขยับอะไรก็เป็นเรื่องได้เสมอ จึงเลี่ยงการพูดคุยหรือสัมภาษณ์ ไม่เช่นนั้นแรงกระสุนตกจะไปกระทบ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ด้วย
ซึ่ง ‘บิ๊กตู่’ แม้จะเล่นตัวไม่ประกาศชัดจะลงพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ โดยระบุว่ามีเวลาถึง 8 ก.พ.นี้ ในการตอบรับ เซ็นต์เอกสารต่างๆ
แม้ ‘อุตตม สาวนายน’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะได้ส่งขันหมากมาสู่ขอ ‘บิ๊กตู่’ ลงในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ อับดับ 1 รองมาคือ ‘อุตตม – รองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ หลัง ‘บิ๊กตู่’ เคยระบุว่า จะเอาชื่อไป ต้องมาเชิญ เปรียบเป็นแต่งงาน ที่ต้องมาสู่ขอก่อน
อย่างไรก็ตาม ‘บิ๊กตู่’ ได้แง้มมาแล้วว่าจะอยู่ใน ‘บัญชีพรรค’ หลังสื่อถามถึงการอยู่นอกหรือในบัญชีพรรคนั้น อะไรจะเสี่ยงกว่ากัน
เพราะแต่ละทางเลือกมีทั้งได้และเสียที่ ‘บิ๊กตู่’ ต้องเผชิญ
แน่นอนว่า การลงในบัญชีพรรคนั้น ที่ต้องเจอกับ ‘แรงกดดัน’ เพราะยังคงนั่งเป็น ‘นายกฯ-หัวหน้าคสช.’ อยู่ด้วย ที่ยืนยันแล้วว่าไม่ลาออก รวมทั้งทำให้สถานะการเป็น ‘กรรมการกลาง’ ต้องจบลงไปด้วย
“ถ้าลาออกแล้วใครจะทำ ไม่ออก เป็นนายกฯ อยู่อย่างนี้แหละ กฎหมายไม่ได้ให้ออก ก็ไม่ออก ส่วนหัวหน้า คสช.นั้น คสช. เขาต้องอยู่ถึงเมื่อไหร่ อยู่จนถึงมีรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วก็ตามนั้น อย่ามาถามซ้ำ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
"มันต้องอยู่มั้ง ไม่มีอย่างอื่น ถ้าอยู่คือต้องอยู่ในบัญชีนายกฯ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปบอกว่าจะเป็นนายกฯ คนใน คนนอก วุ่นวายไปหมด ถ้าอยู่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อีกทั้งทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น ‘สัญลักษณ์’ ของการเอาหรือไม่เอาทหารไปในตัวด้วย
จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ ‘พลังประชารัฐ’ จะต้องชนะและมาอันดับที่ 1 เท่านั้น เพื่อพา ‘บิ๊กตู่’ กลับทำเนียบฯ และไม่ให้ถูกปรามาสว่า ‘เสียของ’อีก จึงเป็นศึกเลือกตั้งที่ชี้ชะตา คสช. เลยทีเดียว ทำให้การหาเสียงครั้งนี้ถูกตีว่าเป็นการสู้ระหว่าง ‘ฝ่ายประชาธิปไตย - ฝ่ายเผด็จการ’ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทราบดี
“ทุกพรรครุมทหารหมดนั้นแหละ กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคทหารกับพรรคประชาธิปไตย สื่อก็รู้อยู่ ทำไมต้องต่อสู้กันเอง เลิกเสียทีการเมืองแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
การตัดสินใจครั้งนี้ ‘บิ๊กตู่’ ต้อง ‘ใจนิ่ง’ พอสมควร เพราะการ ‘ขี่เสือต่อ’ ครั้งนี้ ไม่ง่าย หลังเลือกที่จะ ‘ไม่ลงหลังเสือ’
โดย ‘บิ๊กฉัตร’พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อน ตท.12 - จปร.23 ก็รู้ใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้อย่างไร อีกสิ่งสำคัญที่ถูกตั้งคำถาม คือ สิ่งที่เกิดขึ้นถูกวางแผนมาตั้งแต่ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 แล้วหรือไม่ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิเสธก็ตาม
“ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา รู้ว่าเวลาที่ท่านตัดสินใจ ท่านจะมีหลักคิดและเหตุผลเป็นข้อๆ เป็นขั้นเป็นตอนเสมอ ดังนั้น ท่านคงคิดอย่างรอบคอบแล้วในการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
“ไม่เคยคิดอยู่แล้ว ไม่เคยคิดแม้แต่วันเดียว ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นปัญหาต่างๆ ก็คิดว่าจำเป็นต้องทำต่อหรือไม่ ประชาชนอยากให้ทำต่อหรือไม่ ซึ่งอยู่ที่ประชาชน ไม่ได้อยู่ที่ผม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ซึ่ง ‘บิ๊กตู่’ ก็รู้ว่างานนี้แม้เปลืองตัวและเสี่ยงก็ต้องยอม เพราะมหกรรม ‘เช็กบิลคืน’ มีแน่นอน หาก ‘บิ๊กตู่’ ไม่มีสถานะใดๆ รองรับนับจากนี้ไป
ดังนั้น หากยังเป็นนายกฯต่อ ก็เป็นสิ่งรับประกันว่าโอกาสถูกเช็กบิลคืนก็น้อยลงไป หากพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้ง ก็จะทำให้ ‘บิ๊กตู่’ มีความชอบธรรมทันที
และไม่เจอคำครหาจากสังคมด้วย ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึง ‘ศักดิ์ศรี - เกียรติยศทหาร’ ที่ โรงเรียนเตรียมทหารด้วย
"ถ้ามันโจมตีไม่ใช่เรื่อง ผมก็ไม่สนใจ แล้วถ้าผมกลัวจะเข้ามาทำไม ถ้ากลัวก็ต้องกลัวตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 แล้ว จบไหม ถ้ากลัวผมไม่ตัดสินใจแบบนี้หรอก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
“ขอให้ทุกคนได้สร้างเกียรติยศและศักดิ์ศรีความภูมิใจในการเป็นทหาร ตำรวจ ในการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ที่จะอยู่กับท่านตราบจนสิ้นชีวิต ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ ศักดิ์ศรีเกียรติยศอยู่ที่ประชาชนจะมอบให้ เราไม่สามารถไปบังคับให้ใครเคารพนับถือได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อีกทั้ง การลงในบัญชีนายกฯพรรค ก็เป็นการ ‘ส่งสัญญาณ’ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมลุยต่อ รวมทั้งการไม่ต้องเป็น ‘รัฐบาลรักษาการ’ ก็ทำให้ภาครัฐต้อง ‘เกรงใจ’ ไปด้วยในตัว ‘ไม่เกียร์ว่าง’ ในช่วง 2 เดือนนี้ด้วย จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกที่จะไม่ลาออก แต่ระยะเวลาอีก 2 เดือน อะไรหลายๆ อย่างก็ไม่แน่นอน ดังนั้นอย่าได้ประมาทไป
ด้าน ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ได้กำชับในที่ประชุมเลขาธิการ คสช. ว่า รัฐบาลกำลังเร่งทำงานที่คั่งค้างให้สำเร็จ ส่วนราชการก็ควรเร่งดำเนินโครงการต่างๆ ที่มีแผนงานไว้แล้วให้สำเร็จเช่นเดียวกัน
ซึ่งบทบาทของ ‘กองทัพ’ ในช่วงนี้ก็ ‘นิ่งสงบ’ พอสมควร หาก พล.อ.ประยุทธ์ ลงในบัญชีนายกฯพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ
บทบาทของ ‘กองทัพ’ ก็จะต้องเปลี่ยนไป เพื่อเป็น ‘กรรมการกลาง’ ในการรักษาบรรยากาศการเลือกตั้งและความสงบเรียบร้อย รวมทั้งการ ‘วางตัว’ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะต้องเปลี่ยนไปด้วย
เพราะสถานการณ์ในอนาคต ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ชัดได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าพรรคใดจะชนะ ‘กองทัพ’ ก็ต้องทำงานด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง