ไม่พบผลการค้นหา
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจงไม่มีการเสนอ ศบค.ชุดใหญ่ 18 มี.ค.ให้ถอดหน้ากากอนามัยในสวนสาธารณะ เป็นเพียงการรายงานแผนขั้นตอนเมื่อพ้นระบาดใหญ่เข้าสู่โรคประจำถิ่น และชงปรับมาตรการ Test&Go

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวกระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอ ศบค.ชุดใหญ่ วันที่ 18 มีนาคมนี้ ให้สามารถถอดหน้ากากอนามัยในสวนสาธารณะ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิด ข้อเท็จจริง คือ กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอ ศบค. เรื่องการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศในรูปแบบ Test &Go เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง แต่ให้ตรวจ RT-PCR เพียงครั้งเดียวเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และตรวจ ATK ด้วยตนเองซ้ำอีกครั้งในวันที่ 5 หลังเข้าประเทศ พร้อมปรับลดวงเงินประกันสุขภาพผู้เดินทาง จากเดิมกำหนด 5 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ เหลือ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากเดิมมีค่าเฉลี่ยการรักษาพยาบาลรายละ 1 ล้านบาท แต่ขณะนี้โรคมีความรุนแรงลดลง จึงเสนอปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 นอกจากนี้ จะรายงานต่อ ศบค.ชุดใหญ่ เกี่ยวกับแผนการปรับโรคโควิด 19 เข้าสู่โรคประจำถิ่น เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลรักษาโรค สังคมและกฎหมาย จึงต้องให้ ศบค.รับทราบ เพื่อพิจารณามิติทางสังคมและการแพทย์ให้มีความสมดุลกัน รวมถึงยังมีกฎหมายหลายฉบับในช่วงการระบาดที่ต้องปรับกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลเตรียมปรับมาใช้เป็นร่าง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. ... ที่มีเรื่องของการบริหารในภาวะฉุกเฉินด้วย เป็นต้น

โดยการปรับโรคโควิด 19 เข้าสู่ช่วง Post Pandemic หรือพ้นจากการระบาด เป็นแผนในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้ ซึ่งจะทยอยปรับเป็นขั้นตอน (Step Down) และแม้จะเข้าสู่ช่วงที่พ้นจากการระบาดแล้ว ก็ยังต้องเข้มมาตรการป้องกันตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แต่อาจจะผ่อนคลายได้มากขึ้น เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ผู้ที่ป่วยยังต้องสวม ส่วนคนทั่วไปอาจให้ถอดได้ในพื้นที่เปิดโล่ง เช่น สวนสาธารณะ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่แรกที่ทำได้ และอาจเพิ่มจำนวนการรวมกลุ่มคนทำกิจกรรมได้มากขึ้น โดยแผนทั้งหมดอยู่ในเงื่อนไขว่า ไม่มีการกลายพันธุ์ของไวรัสจนเกิดความรุนแรงขึ้นมาใหม่

ดังนั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีการเสนอ ศบค. เรื่องให้ถอดหน้ากากอนามัยในสวนสาธารณะแต่อย่างใด เป็นเพียงแผนดำเนินการเมื่อเข้าสู่โรคประจำถิ่น ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น เพราะสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา