ไม่พบผลการค้นหา
‘พิธา’ เชื่อแก้ระเบียบราชทัณฑ์ใหม่ ไม่เกี่ยวเปิดทาง ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน ตั้ง 3 ข้อกังวล ผูกขาดอำนาจกรรมการ-เอื้อคนรวย-เหลื่อมล้ำ เผยไม่ได้ตามเรื่องยังอยู่ชั้น 14 จริงหรือไม่

วันที่ 15 ธ.ค. 2566 ที่พรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงระเบียบกรมราชทัณฑ์ใหม่อาจจะเกิดการเอื้อให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกส่งตัวออกมาคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ 

พิธา กล่าวว่า ในภาพกว้างต้องลงในรายละเอียด ตนเข้าใจว่ากระบวนการความคิดแบบนี้มีตั้งแต่ปี 2563 และเท่าที่ฟังจากประธานกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง ก็มีความคิดในเรื่องนี้ล่วงหน้า คงจะไม่มีใครรู้ว่า ทักษิณจะกลับมาเมื่อไหร่ คงต้องให้ความเป็นธรรมกัน

อย่างไรก็ดี มีข้อกังวลคือ สถานที่ที่จะนำมาคุมขังนอกเรือนจำ เป็นการตัดสินใจที่รวมศูนย์อยู่ที่คณะกรรมการ ผู้ต้องขังเองไม่สามารถร้องขอได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่อนุญาต เช่น บ้าน โรงงาน รวมถึงสถานที่ราชการที่กำหนดไว้ จึงทำให้เกิดข้อกังวลว่า จะเอื้อให้กับผู้ที่มีฐานะในระดับหนึ่งในการเข้าถึงนโยบายดังกล่าว 

โดย พิธา ตั้งข้อสังเกต 3 ข้อ ต่อระเบียบกรมราชทัณฑ์ใหม่ ดังนี้

1.มีแนวคิดระเบียบนี้มาตั้งแต่ปี 2563 ตามที่สภาฯได้เสนอมาในปี2560 หรือไม่ 

2.เรื่องของสถานที่ ที่ผู้ต้องขังหรือครอบครัวไม่สามารถร้องขอได้ เนื่องจากเป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เกรงว่า จะมีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง

3.เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ที่จะต้องมีระบบสถานที่เอื้ออำนวย ทำให้คนที่ออกมาได้ต้องเป็นคนที่มีฐานะในระดับหนึ่ง จึงเกรงว่าจะไม่มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งตนไม่ด่วนสรุปว่าเป็นเรื่องของการใช้อภิสิทธิ์ แต่เป็นการตั้งข้อสังเกตจากข่าว ยืนยันไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว

เมื่อถามว่า ทักษิณ อยู่ชั้น 14 จริงหรือไม่ พิธา กล่าวว่า “ผมยังไม่ได้ตามเรื่องนี้เลย”

พิธา กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลจะยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 151 ว่า หลังจากเปิดสมัยประชุม โดยในปีหน้าพรรคก้าวไกลได้รวบรวมวาระสำคัญไว้แล้ว ทั้งพระราชบัญญัติงบประมาณฯ หากไม่มีรายละเอียด อย่างที่พรรคก้าวไกลร้องขอไปครั้งนี้ จึงคิดว่าการยื่นมาตรา 151 เป็นสิ่งที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน จะยื่นในไตรมาสที่ 1 หรือ ไตรมาส 2 ขึ้นอยู่กับผลการชี้แจงของรัฐบาล

โดยพรรคก้าวไกลจะใช้โอกาสนั้นชำแหละงบประมาณฯ ว่าตรงตามวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่บอกไว้หรือไม่ รวมถึงคำชี้แจงจากคำถามของฝ่ายค้าน ถ้าทำได้ไม่ดี ก็จะยื่นแน่นอนอภิปราย ม.151 แน่นอน

ทั้งนี้พรรคก้าวไกลยังคงดำเนินงานตรวจสอบการใช้งบประมาณฯ ไม่ถูกต้อง ว่ามีการทุจริตหรือไม่หากมีหลักฐานชัดเจน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาลในต้นปีหน้า 


มั่นใจก้าวไกลพัฒนายิ่งขึ้น

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรค และมีท่าทีจะเข้าร่วมรัฐบาล จะส่งผลให้การทำงานพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นพรรคที่โดดเดี่ยวหรือไม่ พิธา บอกว่า ไม่ว่าใครจะจับมืออยู่ควบพรรคไหน พรรคก้าวไกลก็ยังเป็นพรรคอันดับ 1 ของไทยอยู่ดี และมี สส.มากที่สุด และมีประธานคณะกรรมาธิการหลายคณะ โดยพรรคมีความตั้งใจทำงาน ผ่านชุดคณะกรรมาธิการให้กับประชาชน รวมถึงการทำงานในสภาและนอกสภา และตั้งเป้าเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ทำงานให้เกิดความผาสุกกับประชาชนให้มากที่สุด 

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เปลี่ยนขั้ว พิธา ตอบว่า ส่วนตัวมั่นใจในพรรคก้าวไกลว่า จะมีการพัฒนายิ่งขึ้น และ จะทำงานให้กับประชาชนให้สมกับคะแนนที่ได้รับมา

เมื่อถามต่อว่า จากงานของพรรคก้าวไกล สส.ของพรรคถูกมองว่า เป็นสส.ส้มหล่น เนื่องจากไม่มีผลงานที่โดดเด่น พรรคจะมีแนวทางพัฒนาสส.อย่างไร นายพิธา ระบุว่า พรรคเองพยายามเต็มที่ และขอขอบคุณกับสิ่งที่เตือนมา และจะพยายามพัฒนาบุคลากรของพรรค


น้อมรับ สส.ก้าวไกล ผลงานไม่โดดเด่น

ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมา ผลงานของพรรคฝ่ายค้านยังไม่โดดเด่น เพราะยังต้องแก้ไข ปัญหาภายในพรรค ทั้งพรรคก้าวไกลเอง และทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย พิธา แสดงความเห็นว่า ปัญหาของพรรคเป็นปัญหาภายในองค์กร แต่การทำงานอยู่สภา ซึ่งสมรรถภาพของการทำงานก็สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่น การผลักดันพ.ร.บ.ก้าวหน้า และ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ก็ทำควบคู่ได้ พร้อมย้ำว่า การทำงานไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยยคดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือ รัฐบาล จะทำให้กฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน สามารถเกิดขึ้นได้ ขณะที่บางครั้งยอมรับว่ามีการรอร่างกฎหมายบางฉบับของรัฐบาล ซึ่งก็อาจทำให้ดูว่า การทำงานนั้นล่าช้า โดยแน่นอนว่า ปัญหาของพรรค ทางพรรคพร้อมน้อมรับ และจะแก้ปัญหา แต่การทำงานอยู่ที่รัฐสภา ก็ยังทำงานยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ได้ ทำงานที่จ้องจะล้มรัฐบาลอย่างเดียว แต่เป็นฝ่ายค้านที่จะทำงานให้กับประชาชนไม่แพ้รัฐบาล


มั่นใจไม่ผิดถือครองหุ้นสื่อ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกลกล่าวถึงกรณีที่สัปดาห์หน้าศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดีที่ถูกกล่าวหาถือครองหุ้นสื่อในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ว่า ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้วโดยวันนี้จะดูรายละเอียดสุดท้ายในถ้อยแถลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร และพร้อมที่จะขึ้นให้การไต่สวนพยานทั้งในเรื่องของหลักฐานที่เป็นหลักฐานส่วนตัว ในส่วนของผู้จัดการมรดกก็ดี และหลักฐานว่าไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมองเรื่องของรายได้ เรื่องของ License ที่ต้องขอในการทำสื่อจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ซึ่งตรงนี้ทาง กสทช.ตอบกลับมาชัดเจนว่าไม่มี License ทำสื่อของ itv ดังนั้นตรงนี้ก็พร้อมที่จะยืนหน้าบัลลังก์ในการให้ปากคำในฝั่งของตน และมั่นใจ 100% ว่าจะไม่ผิด 

ทั้งนี้แนวเรื่องของการเป็นผู้จัดการมรดกมีหลักฐานที่ไม่เคยเปิดที่ไหนก็จะใช้ส่วนนี้จะอธิบายต่อสาธารณะ

ส่วนคดี นโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ที่อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น นายพิธา กล่าวว่าเอกสารก็เสร็จเรียบร้อยทั้ง 2 ส่วนแล้ว โดยจะตรวจสอบและยื่นให้ศาลในเร็ววันนี้ และพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบทั้งวันที่ 20 และ 25 ธันวาคม และซึ่งตนจะเดินทางไปศาลเพื่อฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง