สืบเนื่องจากกรณีที่ สรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีการออกหมายจับ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายื่อ พรรคก้าวไกล ที่มูลนิธิป่ารอยต่อเป็นผู้แจ้งความ ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกจากสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้มูลนิธิป่ารอยต่อเพื่อเป็นศูนย์กลางเครือข่ายอำนาจเพื่อต่อรองผลประโยชน์ ทั้งต่อมายังพบว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายตั๋วช้างเเละการค้ามนุษย์โรฮิงญา โดยระบุว่า การออกหมายจับนั้นเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ได้หมายเรียกแล้วหลายครั้ง แต่พบว่ามีความพยายามงบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ เพื่อไม่มาตามหมายเรียก จึงต้องออกหมายจับ
ล่าสุดรังสิมันต์ ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า ตามที่สรวิศระบุว่า ออกหมายเรียกตนนั้น เป็นหมายเรียกที่ไม่ได้ออกในระหว่างสมัยประชุมสภา 3 ฉบับ คือ
1. ฉบับที่นัดให้ไปพบตำรวจในวันที่ 15 ต.ค.2564
2. ฉบับที่นัดให้ไปพบตำรวจในวันที่ 26 ต.ค.2564
3. ฉบับที่นัดให้ไปพบตำรวจในวันที่ 11 มี.ค. 2565
รังสิมันต์ ระบุว่า ในบรรดาหมายเรียกทั้งหมดมีเพียงหมายเรียกฉบับที่ 3 เท่านั้นที่ได้รับจริงๆ ส่วนหมายเรียก 2 ฉบับแรกนั้นไม่เคยมาถูกส่งมาถึงมือ ซึ่งไม่ทราบว่า หมายเรียกนั้นไม่เคยมีออกมาแต่แรก หรือได้ออกมาแล้วแต่ส่งมาไม่ถึงที่อยู่ของตน ส่วนที่ว่ามีการนัดและขอเลื่อนนัดกันนั้นก็เกิดจากการโทรศัพท์ติดต่อกันปากเปล่ามาที่ทนายความ ซึ่งทางผมก็ได้แจ้งเหตุภารกิจของผู้แทนราษฎรในการขอเลื่อนนัดพบไปตามกระบวนการขั้นตอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้แม้กระทั่งทางศาลอาญาตลิ่งชันก็ยังยอมรับในเหตุขัดข้องที่ได้แจ้งไป จึงได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอออกหมายจับที่ทางตำรวจยื่นมาในครั้งแรก
จึงเหลือเพียงประเด็นหมายเรียกครั้งล่าสุดที่ให้ไปพบตำรวจในวันที่ 11 มี.ค. 2565 ซึ่งสรวิศกล่าวว่า ตนได้แจ้งเหตุขัดข้องว่ามีการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่เมื่อตรวจสอบในเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการฯ แล้วไม่พบว่ามีการประชุมนัดประชุมในวันดังกล่าว
"ผมขอชี้แจงว่าการประชุมดังกล่าวคือการประชุมของ 'คณะทำงาน' ที่ถูกตั้งด้วยคำสั่งโดยชอบของประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน คณะทำงานที่ว่านี้ไม่ใช่ตัวของคณะกรรมาธิการเอง และไม่ใช่อนุกรรมาธิการ ดังนั้นจึงไม่ได้มีการลงนัดประชุมไว้ในเว็บไซต์ โดยคณะทำงานชุดนี้ทำหน้าที่ในการศึกษาเกี่ยวกับการบิดเบือนกฎหมายของเจ้าพนักงานในตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อทำรายงานส่งคณะกรรมาธิการฯ ชุดใหญ่ต่อไป โดยมีประธานคือ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ และผมเป็นรองประธาน มีการประชุมในทุกวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงวันศุกร์ที่ 11 มี.ค. 2565 ที่ผมก็ได้เข้าประชุมด้วย จึงเป็นเหตุให้ต้องขอเลื่อนการนัดพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่ได้แจ้งไป ซึ่งถ้าหากศาลเห็นว่าคณะทำงานดังกล่าวไม่เหมือนกันกับคณะกรรมาธิการ ก็ยังสามารถให้ออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 2 ได้ ทว่าก็เลือกอนุมัติให้ออกหมายจับในที่สุด"
รังสิมันต์ ย้ำด่วยว่า สรุปแล้วในบรรดาหมายจับทั้งหมดที่สรวิศอ้างถึง มีเพียงหมายจับฉบับสุดท้ายเท่านั้นถึงตนได้รับแล้วอย่างถูกต้องเพียงฉบับเดียว ซึ่งทางตนก็ได้แจ้งกลับไปแล้วว่าจะขอเลื่อนนัดมาเข้าพบตำรวจเป็นวันที่ 31 มี.ค. 2565 พร้อมเอกสารประกอบยืนยันข้อเท็จจริง เช่นนี้แล้วทางตำรวจมีเหตุอะไรอีกที่จะมาออกหมายจับตนได้
"และถึงที่สุดกับคดีหมิ่นประมาทที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ผมในฐานะ ส.ส. ไม่มีความจำเป็นต้องมาหลบหนีคดีพรรค์นี้เลย หากทางตำรวจตอบรับการเลื่อนนัดของผมไปเป็นวันที่ 31 มี.ค. ก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือให้ทำสำนวนก่อนจะเปิดสมัยประชุมอีกครั้ง และในเมื่อทางตำรวจยังดันทุรังจะออกหมายจับผมเพื่อเอามาฟ้องอัยการให้ได้ ผมก็ยังมาพบเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่หนี แต่แล้วสุดท้ายกลายเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียเองที่ทำสำนวนไม่เรียบร้อย ทำให้ผมต้องเสียเวลาเปล่าๆ
นอกจากนี้ในความวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องหมายเรียกหมายจับของผมทั้งหมดนี้ อันที่จริงทางศาลจะเรียกผมไปพูดคุยก็ได้ว่าจะหลบหนีจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหมายจับแต่ละหมายเป็นอย่างไร ทว่าที่ผ่านมาศาลก็ไม่เคยได้มาสอบถามผมในเรื่องนี้มาก่อนเลย ซึ่งการที่ในรอบนี้ทางโฆษกศาลออกมาชี้แจงบ้างก็นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าทางตำรวจให้ข้อมูลอะไรกับทางศาลไปบ้าง ผมเองก็เพิ่งรู้เช่นกันว่าทางตำรวจเคยได้เอาเหตุเรื่องหมายจับ 2 ฉบับในเดือนตุลาคม 2564 ที่ไม่เคยมาถึงมือผมไปอ้างใช้ในการออกหมายจับมาก่อนด้วย และอยากฝากทางศาลยุติธรรมกลับไปตรวจสอบทางตำรวจด้วยเช่นกันว่าได้จัดการเรื่องการส่งหมายกันอย่างไร จึงได้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น
ผมขอยืนยันว่าผมยินดีให้ความร่วมมือกับทางศาลเพื่อให้ข้อมูลถึงสิ่งที่ผมได้รับการปฏิบัติจากทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งกรณีของผมไม่ใช่กรณีแรก แต่ยังมีประชาชนคนตัวเล็กๆ ที่จะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีกมากมาย ผมหวังว่าประสบการณ์ที่ผมได้รับจะช่วยเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการยุติธรรมของไทยให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป หากโฆษกศาลยุติธรรม คุณสรวิศ ลิมปรังษี ประสงค์จะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผมในเรื่องนี้ สามารถติดต่อมาได้ทุกเมื่อครับ"