วันที่ 29 มี.ค. ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) ในญัตติให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ม.210 (2) โดย ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตนเอง และคณะ 123 คน ได้ใช้สิทธิตาม ม.256 (1) และ (2) รัฐธรรมนูญปี 2560 เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยจัดทำเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พ.ศ … โดยมีหลักการแก้ไขเพิ่มเติม ม.256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งประธานรัฐสภาไม่ได้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ เพราะเห็นว่า ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564
ด้าน พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายต่อว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนโดยเร็วที่สุด ยอมรับว่า รู้สึกหนักใจภายใต้ความพยายามหลายฝ่ายที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่รัฐสภาพยายามส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยทุกครั้งที่รัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยเฉพาะการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น เหมือนเป็นการยื่นดาบให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9คน ที่แต่งตั้งโดยกลุ่มคนที่ไม่ได้อยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้กลุ่มคนดังกล่าว มีอำนาจฟันธงชี้ขาดว่า รัฐสภาแห่งนี้ทำอะไรได้ หรือไม่ได้
พริษฐ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเป็นเหมือนกล่องสุ่มที่ไม่เป็นคุณต่อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สาเหตุที่ทำให้เราต้องมาพิจารณาญัตติดังกล่าว เนื่องจากประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ยืนยันว่า การตัดสินใจของประธานรัฐสภาไม่ถูกต้อง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ร่าง ของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลมีเหตุผลสอดคล้องกันจะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
พริษฐ์ ยังเปรียบเทียบเนื้อหาสาระของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับซึ่งคล้ายกัน มีการเสนอให้แก้ไข ม.256 และหมวด 15/1 ทำให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หาก ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกบรรจุ และพิจารณาเห็นชอบโดยรัฐสภา ใน ม.256 (8) แห่งรัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดชัดเจนว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากผ่านความเห็นชอบ 3 วาระของรัฐสภา จำเป็นจะต้องจัดทำประชามติ ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบของประชาชนจะมี สสร.เข้ามาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะต้องมีการทำประชามติถามความเห็นจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง จึงขอตั้งคำถามว่ากระบวนการเหล่านี้ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อดูคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญที่ 4/2564 เขียนไว้ว่า รัฐสภามีหน้าที่ และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างฉบับใหม่เสร็จแล้วต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับฉบับใหม่อีกครั้ง ซึ่งหมายถึงการทำประชามติ 2 ครั้ง หนึ่งครั้งก่อนที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และอีกหนึ่งครั้งหลังจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พริษฐ์ กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลมาว่า เหตุผลที่ประธานรัฐสภาไม่บรรจุเรื่องดังกล่าวเข้าในระเบียบวาระเพราะตีความคำว่า “เสียก่อน” ต่างออกไป โดยตีความว่า “เสียก่อน” คือการทำประชามติเสียก่อนมีการเสนอร่างแก้ไขฉบับใดๆ เข้าสู่รัฐสภา จึงตัดสินใจไม่นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมรัฐสภาจนกว่าจะมีการทำประชามติ เพิ่มอีกหนึ่งครั้ง ก่อนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ เข้าสู่รัฐสภา หมายความว่า Road Map ในการเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องมีการจัดทำประชามติถึง 3 ครั้ง
พริษฐ์ ย้ำว่า ปัญหานี้แก้ไขไม่ยาก ด้วยการไปดูคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนเพื่อเข้าใจเจตนา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ประธานรัฐสภายังไม่ได้ทำ เนื่องจากตัวแทนคณะกรรมการประสานงานเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีมติเสียงข้างมากให้ประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ศึกษาเพียงแค่คำวินิจฉัยกลาง ไม่ได้ศึกษาคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
โดยที่ตามคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลได้รัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก 5 ใน 9 คนวินิจฉัยว่าประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในระเบียบวาระได้ จึงอนุมานได้ว่าคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ประธานรัฐสภาสามารถบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ และหากวันนี้รัฐสภามีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยมาแล้วเมื่อปี 2564 และยังปฎิบัติหน้าที่อยู่ในตอนนี้ก็จะยังวินิจฉัยเช่นเดิม
พริษฐ์ ยังเห็นว่า การไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ระเบียบวาระเป็นการตัดสินใจที่สวนทางกับคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก เพราะเชื่อว่า ประธานรัฐสภาทราบดีว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจใช้อำนาจปฏิเสธไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก สส.ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นเรื่องใหญ่ จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อไม่บรรจุระเบียบวาระต้องมาพิสูจน์ และอธิบายให้กระจ่างต่อสังคม
แม้วันนี้จะตัดสินใจทบทวน และบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลเข้าสู่วาระการประชุม สมาชิกอาจจะเห็นแย้ง และเสนอญัตติให้รัฐสภาเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญอยู่ดี แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การคาดการณ์ปรากฏการณ์แบบนั้นไม่ควรเป็นเหตุผลให้ประมุขของสภาฯ ไม่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย หวังว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนการตัดสินใจ และบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม เพื่อผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนโดยเร็วที่สุด