รายการ Intelligence ประจำวันที่ 22 ม.ค. 55
มติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุมัติเยียวยาให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต บาดเจ็บจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในช่วงปี 2548-2553 โดยเฉพาะการจ่ายเงินเยียวยาให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต 7.75 ล้านบาท ก่อให้เกิดกระแส วิพากษ์ทั้งสนับสนุน และคัดค้านอย่างกว้างขวาง ฝ่ายที่สนับสนุน จะหยิบยกประเด็นเชิงศีลธรรมว่า ไม่สามารถตีราคาชีวิตมนุษย์กับ จำนวนเงินได้ และสังคมไทย ยังตกหลุมกับเงินจำนวน 7 ล้านบาท ว่าคุ้มค่ากับชีวิตคนหนึ่งคนหรือไม่
ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องให้ ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉิน ว่าเป็นมติ ครม.ที่ไม่ชอบด้วย กฎหมายเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เป็นการเยียวยาบุคคลที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่ากระทำความผิดหรือไม่ และยังเรียกร้องให้ชดเชยเยียวยาเหตุการณ์รุนแรงในอดีต ทั้ง ตุลา 16 19 และ พฤษภา 35 เหยื่อความไม่สงบไฟใต้ เหยื่อคดีฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด แต่ในที่สุดศาลปกครองก็มีมติไม่รับคำร้องไต่สวนฉุกเฉิน
รายการ Intelligence พูดคุยกับนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ และ รัฐศาสตร์ เกี่ยวกับมาตรการเยียวยา และเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้น อ.พนัศ ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยอมรับว่า ไม่มีกฎหมายโดยตรงที่กำหนดการเยียวยาชัดเจน คณะรัฐมนตรีใช้งบ 2000 ล้านบาท จากงบประมาณประจำปี ที่สำคัญต้องยึดหลักการ เรื่อง "การปรองดอง" ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นการปฏิบัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงหรือ คอป. ที่สำคัญ
คณะกรรมการกลั่นกรอง ฯจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์เยียวยา ผู้เสียหายแต่ละราย อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นที่ฝ่ายค้านกังวลเรื่องการเยียวยาผู้กระทำความผิด
ผศ.พวงทอง ภวัครพันธ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า การเยียวยาเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล เพราะในช่วงเหตุรุนแรงทางการเมือง เม.ย.- พค. 53 มีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เป็นความเสียหายรุนรแงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ อ.พวงทอง ยังเชื่อมั่นว่า การกำหนดเกณฑ์การเยียวความรุนแรงทางการเมือง ช่วง 48-53 จะกลายเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไป และช่วยให้การเรียกร้องเยียวยาแก่กลุ่มอื่น ๆ ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ความรุนแรงในจังหัวดชายแดนภาคใต้ และ การฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด
นักวิชาการทั้งสองท่าน ตั้งคำถามว่า พวกที่ออกมาคัดค้านมติ ครม.เรื่องการเยียวยา ปฎิเสธการปรองดองใช้หรือไม่ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายยึดหลักสากลของประเทศที่เคยผ่านประสบการณ์รุนแรงทางการเมือง และอาศัยการเยียวยาทั้งในแง่ของ การจ่ายเงินชดเชย และการเดินหน้ากระบวนการยุติธรรมจนผ่านพ้นวิกฤติมาได้ นักวิชาการทั้งสอง ยังเห็นตรงกันว่า ในเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในอดีตทั้ง 3 ครั้ง
ไม่มีใครออกมาคัดค้านการเยียวยา เพราะสังคมไม่ได้แตกแยกร้าวลึก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างทุกวันนี้ เสียงคัดค้านในขณะนี้ไม่ได้ใช้เหตุผลในเชิงศีลธรรม แต่ใช้อคติ ความเกลียดชังนำหน้า แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้การปรองดอง ด้วยการเยียวชดเชยเดินหน้าต่อไปได้คือ การแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ของรัฐบาล
Produced by Voice TV