ซิตี้แบงก์ เปิดใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยเสียงแทนการกดรหัสในการทำธุรกรรมทางซิตี้โฟนแบงก์กิ้งเป็นแห่งแรกในไทย ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ไม่สามารถเลียนแบบได้ คาดว่าจะมีลูกค้าแถบเอเชียแปซิฟิก ใช้บริการ 1 ล้านราย ภายใน 1 ปี
หลังประสบความสำเร็จ ในการเปิดตัวเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือแทนการคีย์รหัสผ่านสำหรับลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน ซิตี้โมบายล์ แบงก์กิ้ง เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา(59) ล่าสุด ซิตี้แบงก์ ได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เป็นธนาคารแห่งแรกที่สามารถให้บริการการยืนยันตัวตนด้วยเสียง เพื่อเข้าสู่ระบบบริการทางโทรศัพท์ของธนาคารได้
นายดาเรน บัคลีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า เทคโนโลยีชีวภาพด้านเสียงพูด หรือ Voice Biometrics เพื่อยืนยันตัวตนในการให้บริการลูกค้าผ่านคอลเซ็นเตอร์ซิตี้โฟนแบงก์กิ้ง 1588 ซึ่งเป็นประเทศที่ 8 ที่ซิตี้แบงก์ นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วและมีความปลอดภัยขั้นสูงสุด คาดว่าจะมีลูกค้าในเอเชียแปซิฟิก ลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วยเสียงพูด 1 ล้านราย ภายใน 1 ปีจากนี้
นวัตกรรม Voice Biometrics มีระบบปฏิบัติการที่ตรวจสอบและแยกองค์ประกอบเสียงของลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งระบบจะบันทึกเสียงของลูกค้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มาจัดเก็บในรูปแบบพิมพ์เสียง (Voiceprint) และเข้ารหัสเป็นตัวเลข (Binary code) เป็นการรักษาความปลอดภัย 2 ชั้น ไม่สามารถลอกเลียนแบบเสียงกันได้ แม้จะเป็นฝาแฝดกันก็ตาม
นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคลธุรกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า ระบบ Voice Biometrics จะช่วยลดระยะเวลาการยืนยันตัวตน จากกว่า 1 นาที เหลือ 10-15 วินาที เพิ่มศักยภาพการให้บริการลูกค้าจำนวนมากขึ้น โดยธุรกรรมทั่วไปสามารถทำได้ทันที เช่น สอบถามวงเงิน หรือวันครบกำหนดชาระ แต่หากเป็นธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น การโอนเงิน หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล ต้องตอบคำถามเพิ่มเติม อีก 1-2 คำถาม
ปัจจุบัน ซิตี้แบงก์ มีเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ ประมาณ 150 คน มีธุรกรรมผ่านคอลเซ็นเตอร์เดือนละ 200,000 รายการ ฐานลูกค้ารายย่อย 1.6 ล้านราย แบ่งเป็นลูกค้าบัตรเครดิต กว่า 1 ล้านราย , สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อพร้อมใช้ 500,000 ราย , ลูกค้าเวลธ์แมเนจเมนต์ อีก 30,000 ราย แต่ละเดือนมีลูกค้าใช้บริการคอลเซ็นเตอร์ เฉลี่ย 30-40% ของลูกค้าทั้งหมด คาดว่าจากนวัตกรรม Voice Biometrics จะมีลูกค้าใช้บริการเพิ่มอย่างน้อย 30%
สำหรับประเทศที่ธนาคาร นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย ซึ่งยืนยันตัวตนโดยไม่ต้องถามวันเกิด หมายเลขบัตรประชาชน และหมายเลขบัตรเครดิต