การทดลองนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลชีบาในอิสราเอล โดยทีมวิจัยเริ่มการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันตั้งแต่เดือนก่อนเป็นเข็มที่ 4 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ 270 ราย ที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว 3 เข็ม โดยเป็นการฉีดเข็มกระตุ้นทั้งวัคซีน mRNA ของทางไฟเซอร์และโมเดอร์นา
ผลลัพธ์ของการทดลองทางคลินิกเบื้องต้นเปิดเผยว่า ทั้งกลุ่มของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีน mRNA ต่างผู้ผลิต มีค่าภูมิคุ้มกันที่ “สูงขึ้นเล็กน้อย” เมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่ 3 เมื่อช่วงปีก่อน อย่างไรก็ดี ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นขึ้นมายังคงไม่สามารถลดการติดเชื้อโอไมครอนที่กำลังระบาดอย่างหนักได้
“ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้น แต่วัคซีนเข็มที่ 4 ช่วยปกป้องจากเชื้อไวรัสได้เพียงบางส่วนเท่านั้น” พญ.กิลี เรเจฟ โยเชย์ ผู้อำนวยการศูนย์โรคติดต่อกล่าว “วัคซีนที่ส่งประสิทธิผลในการตอบรับกับเชื้อกลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ กระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อรับมือกับเชื้อโอไมครอนได้น้อยกว่า”
ข้อมูลจากผลงานวิจัยในครั้งนี้ อาจนำมาซึ่งการตั้งคำถามต่อการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 2 ครั้ง หรือหมายรวมถึงการฉีดวัคซีนทั้งหมด 4 เข็ม ต่อประชากรอายุเกิน 60 ปีที่รัฐบาลอิสราเอลประกาศใช้ไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ มีประชาชนชาวอิสราเอลแล้วอย่างน้อย 500,000 ราย ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 แล้วเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี นพ.นาห์มัน อาช อธิบดีกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลออกมาระบุถึงงานวิจัยดังกล่าว ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าวัคซีนเข็มที่ 4 นั้นเป็นนโยบายที่ผิดพลาดแต่อย่างใด “มันช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันกลับมาเหมือนเดิมกับตอนที่เริ่มการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะต่อประชาชนสูงอายุ” อย่างไรก็ดี อาชยอมรับว่า ผลวิจัยในครั้งนี้จะนำเข้ามาพิจารณาโดยทางการต่อไป ถึงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนในวงกว้าง
อิสราเอลเป็นชาติแนวหน้าด้านการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรของตน อย่างไรก็ดี การฉีดวัคซีนจำนวนมากกลับไปสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโอไมครอน ที่กลายเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากสุดในหลายประเทศ รวมถึงอิสราเอล ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนยังคงเป็นทางออกในการลดอัตราการป่วยหนักและการเสียชีวิตจากโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ในขณะที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า เชื้อโอไมครอนที่แพร่กระจายได้รวดเร็ว อาจส่งอาการป่วยได้ไม่รุนแรงเท่ากับเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ ที่ระบาดมาก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
ที่มา: