“มีศพเกลื่อนกลาดอยู่ในกลุ่มอาคารของโรงพยาบาล และไม่มีไฟฟ้าใช้ในห้องดับจิตอีกต่อไป” โมฮัมหมัด อาบู ซัลมิยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอัลชีฟะห์ ระบุกับสำนักข่าว AFP เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (14 พ.ย.) “เราถูกบังคับให้ฝังพวกเขาในหลุมศพหมู่”
อาบู ซัลมิยา ยังกล่าวว่าจนถึงขณะนี้ มีศพ 179 ศพถูกฝังอยู่ใต้ลานโรงพยาบาล และเป็นเด็กทารก 7 ราย และผู้ป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤต 29 ราย ซึ่งอยู่ในหมู่ผู้เสียชีวิตจนถึงตอนนี้ นับตั้งแต่เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟของโรงพยาบาลหมดลง เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (11 พ.ย.)
ในตอนนี้ กองกำลังอิสราเอลได้ล้อมโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา ซึ่งอิสราเอลอ้างว่าตั้งอยู่บนยอดอุโมงค์ที่ซับซ้อน และเป็นศูนย์บัญชาการที่ใช้โดยนักรบจากฝ่ายติดอาวุธของกลุ่มฮามาสปาเลสไตน์ ซึ่งปกครองฉนวนกาซาอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี กลุ่มฮามาสปฏิเสธว่าไม่มีนักรบของกลุ่มอยู่ใต้โรงพยาบาล และกล่าวว่ามีผู้ป่วย 650 ราย และพลเรือนผู้พลัดถิ่น 5,000 ถึง 7,000 ราย ติดอยู่ในบริเวณโรงพยาบาล ซึ่งถูกยิงจากสไนเปอร์และโดรนอย่างต่อเนื่อง
จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า “มีข้อมูลว่ากลุ่มฮามาสและญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ใช้โรงพยาบาลบางแห่งในฉนวนกาซา รวมถึงโรงพยาบาลอัลชีฟะห์ และอุโมงค์ที่อยู่ด้านล่างเพื่อปกปิดและสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของพวกเขา และเพื่อจับตัวประกัน”
โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า สมาชิกของกลุ่มปาเลสไตน์ทั้งสองกลุ่ม “ทำปฏิบัติการหน่วยบัญชาการและควบคุมจากโรงพยาบาลอัลชีฟะห์ในเมืองกาซา” และจัดเก็บอาวุธไว้ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น อย่างไรก็ดี เคอร์บีไม่ได้แสดงหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าว เช่นเดียวกันกับการที่อิสราเอลกล่าวอ้างในข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานเช่นกัน
“พูดให้อย่างชัดเจน เราไม่สนับสนุนการโจมตีโรงพยาบาลจากทางอากาศ เราไม่อยากเห็นการสู้รบในโรงพยาบาล ซึ่งมีผู้บริสุทธิ์ ผู้ไร้หนทาง และผู้ป่วย ซึ่งต่างพยายามได้รับการรักษาพยาบาลที่พวกเขาสมควรได้รับ” เคอร์บีกล่าว
องค์การสหประชาชาติประเมินว่ามีผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และพลเรือนผู้พลัดถิ่นอย่างน้อย 2,300 คน กำลังติดอยู่ภายในและอาจไม่สามารถหลบหนีออกมาท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดได้ ในขณะเดียวกัน องค์การสหประชาชาติยังระบุอีกว่า โรงพยาบาล 22 แห่งจาก 36 แห่งในฉนวนกาซาไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากขาดเชื้อเพลิงเครื่องปั่นไฟ ความเสียหายต่ออาคาร และการต่อสู้ระหว่างกองทัพ
สภาพที่เสียหายของโรงพยาบาลในฉนวนกาซา ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและชาติพันธมิตร ระหว่างการโจมตีและปิดล้อมฉนวนกาซาของอิสราเอล ซึ่งทำให้การเข้าถึงเชื้อเพลิงถูกตัดขาด ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 พ.ย.) โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาหวังว่าจะได้เห็น “การกระทำที่ล่วงล้ำน้อยลง เมื่อเทียบสัดส่วนกับโรงพยาบาล” ที่ตกเป็นเป้าหมายบการโจมตี
“โรงพยาบาล 14 แห่งที่ยังเปิดอยู่มีเวชภัณฑ์ไม่เพียงพอ ต่อการรองรับการผ่าตัดวิกฤตและช่วยชีวิต และให้การดูแลผู้ป่วยใน รวมถึงการดูแลผู้ป่วยหนัก” องค์การอนามัยโลก (WHO) ในเขตปาเลสไตน์ กล่าว ในขณะที่ อัชราฟ อัลคูดรา โฆษกกระทรวงสาธารณสุขฉนวนกาซา กล่าวเมื่อวันอังคารว่า ข้อเสนอของอิสราเอลที่จะเข้ามาทำการย้ายเด็กทารกออกจากโรงพยาบาลอัลชีฟะห์ด้วยตู้อบแบบพกพานั้น ไม่ได้ส่งผลให้เกิดแผนการที่เป็นรูปธรรมใดๆ
มาร์กาเร็ต แฮร์ริส โฆษกองค์การอนามัยโลก กล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงเจนีวาเมื่อวันอังคารว่า การย้ายผู้ป่วยและผู้ป่วยอ่อนแอออกจากโรงพยาบาลเป็น “ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” พร้อมตั้งคำถามว่า “แล้วทำไมคุณต้องย้ายพวกเขาด้วย… โรงพยาบาลไม่ควรถูกโจมตี โรงพยาบาลเป็นสถานที่หลบภัย สิ่งนี้เป็นที่ยอมรับภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”
ในทางตรงกันข้าม อิสราเอลปฏิเสธว่าโรงพยาบาลอัลชีฟะห์ไม่ได้ถูกปิดล้อม และกล่าวว่าอิสราเอลกำลังให้คนที่อยู่ในเส้นทางของโรงพยาบาลสามารถหลบหนีออกมาได้ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าวของอิสราเอล และกล่าวว่าการยิงถล่มของอิสราเอลได้นำอันตรายเพิ่มเติมมาสู่การปฏิบัติหน้าที่ทางการแพทย์ของพวกเขา
อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ฉนวนกาซาและเปิดฉากโจมตีภาคพื้นดิน หลังจากนักรบฮามาสเข้าโจมตีพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอลเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 1,200 คน ตามการระบุของเจ้าหน้าที่อิสราเอล ในขณะที่การโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 11,200 ราย รวมถึงเด็กมากกว่า 4,600 ราย ตามการระบุของเจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์
ที่มา: