ไม่พบผลการค้นหา
'ทิพานัน' แจง 'เพื่อไทย' ปมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ถึง 425 บาทcตามที่หาเสียงไว้ได้ เพราะผลกระทบโควิด-ที่ผ่านมามีมาตรการเยียวยาแล้ว บอกประเทศอยู่ในช่วงฟื้นฟู รัฐบาลตัดสินใจอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ยึดผลทางการเมือง

ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกรัฐบาล กล่าวถึงกรณีอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรคพลังประชารัฐที่ตอนนี้มีหัวหน้าพรรคฯ เป็นรักษาการนายกฯ ไม่สามารถทำตามสัญญาทั้งที่มีอำนาจล้นมือ ถือเป็นการตระบัดสัตย์ ไม่สามารถปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ 425 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ตามที่หาเสียงไว้

ต้องขอชี้แจงว่า การปรับค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่ม เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพจากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น ยิ่งสถานการณ์หวั่นไหวทางเศรษฐกิจอาจทำให้มีการปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นได้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้กำชับให้ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ดูแลแรงงาน โดยให้หาแนวทางดำเนินการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เร็วที่สุดเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย” 

ทิพานัน กล่าวต่อว่า การปรับอัตราค่าแรงได้นำตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของแต่ละจังหวัดชัดเจน และนำมาเทียบกับภาวะเงินเฟ้อ นำมาคำนวณจนได้ข้อสรุปแบ่งเป็น 9 อัตรา และมีระดับค่าแรงตั้งแต่ 328 - 354 บาท ตามที่ทราบกัน เป็นการประชุมร่วมกันหลายฝ่าย เรียกว่าคณะกรรมการค่าจ้าง จนได้ข้อสรุปเพื่อเสนอ ครม. คาดว่าจะประกาศใช้ภายใน 1 ต.ค. 2565 

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยวิจารณ์ว่า รัฐบาลไม่สามารถปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท ตามนโยบายหาเสียงไว้จนปลายอายุรัฐบาลนั้น ทิพานันกล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบหนักต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และจากมาตรการทางด้านสาธารณสุข โดยตัวเลขอัตราค่าแรงขั้นต่ำมีการหารือทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการมาแล้วว่าอยู่ในจุดที่ยอมรับได้  

อีกทั้งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือและเยียวยาทั้งนายจ้างและลูกจ้างผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้และไม่เกิดการว่างงานขึ้น รวมเงินกู้ผ่านธนาคารของรัฐเพื่อให้พลิกฟื้นธุรกิจ โดยปี 2564 รัฐบาลได้ดำเนินการผ่านโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน มาตรา 33, 39 และ 40 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 102,532.08 ล้านบาท โครงการ ม.33 เรารักกัน คนละ 6,000 บาท มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 48,185.85 ล้านบาท ลดอัตราเงินสมทบให้กับนายจ้าง ผู้ประกันตนตาม ม.33 ม. 39 และลดอัตราเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนม.40 ลดเหลือร้อยละ 60 ของอัตราเงินสมทบปกติที่จัดเก็บ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนพยุงในระบบเศรษฐกิจกว่า 1,874 ล้านบาท 

ทั้งนี้รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ ยังมีมาตรการลดค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ให้กลุ่มเปราะบาง และสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง เข้าสู่ระยะที่ 5 แล้ว

“ประเทศไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจและเปิดประเทศ รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจอย่างระมัดระวังและมีความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น การลงทุนในอนาคต ไม่ได้ยึดเอาผลทางการเมืองเพื่อดึงคะแนนเสียงเป็นหลักในเวลานี้ แต่ให้ผลประโยชน์ของประเทศและพี่น้องประชาชนเป็นตัวนำ” ทิพานัน กล่าว