นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประมาณการใช้งบประมาณการเลือกตั้ง ส.ส. จะใช้งบประมาณ 5,500 - 5,800 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเดิม เพราะกฎหมายให้อำนาจ กกต. เพิ่มขึ้นมาก ทั้งอำนาจสืบสวน ไต่สวน การจัดตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้งก็เป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้
แต่การใช้เงินจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นเพื่อไปไล่จับพวกซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง ถึงแม้เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้มีการทุจริตเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่เป็นการทำงานที่ไปแก้ปัญหาปลายเหตุ กกต. ควรทำงานเชิงรุก แก้ปัญหาที่ต้นเหตุควบคู่กันไปด้วย คือ หาทางป้องกันการซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง พร้อมกับการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นพิษภัยของการซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และ เป็นการส่งเสริมพัฒนาการเมืองไทยให้มั่นคงต่อไป
อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว ความไม่สงบเรียบร้อยจะลดลง เพราะทุกพรรคการเมืองต่างมีภาระหน้าที่รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งมากกว่าที่จะมาสร้างความไม่สงบเรียบร้อย ตรงข้ามกับสิ่งที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นกังวล อีกทั้งกฎหมายพรรคการเมืองก็มีข้อห้ามมากมายไม่ให้พรรคการเมืองส่งเสริม หรือ สนับสนุนการก่อความไม่สงบเรียบร้อย ใครฝ่าฝืนก็มีโทษสูงถึงขั้นติดคุก ถูกยุบพรรคได้ หรือถ้ามีใครก็ตามสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายก่อความไม่สงบขึ้นระหว่างเลือกตั้งรัฐบาลก็มีอำนาจ มีเครื่องมือมากมาย ที่จะช่วยระงับยับยั้งได้ เช่น กฎหมายอาญา กฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ และกฎหมายอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นเครื่องมือช่วยทำให้เกิดความเรียบร้อยขึ้นได้
นอกจากนี้ นายองอาจ ยังย้ำว่าขณะนี้ประชาชนคนไทยส่วนมากต่างอยากเห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้นในบ้านเมือง อยากเห็นการเมืองไทยเดินไปข้างหน้ามากกว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองนายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรวิตกกังวลว่า เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งแล้วอาจนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อย แต่นายกฯ ควรสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทย และนานาชาติมั่นใจว่ารัฐบาลมีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้