เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 ม.ค. 2565 ที่ ลานกีฬาชุมชนเสนานิคม 2 ในซอยพหลโยธิน 34 พรรคก้าวไกล จัดเวทีปราศรัยใหญ่เป็นครั้งแรกเพื่อช่วยหาเสียงให้กับ เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกต้ังที่ 9 (เขตหลักสี่ เขตจตุจักร ยกเว้นแขวงจตุจักรและแขวงจอมพล) พรรคก้าวไกล หมายเลข 6 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งเพื่อลงคะแนนในวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค. นี้ โดยก่อนเริ่มปราศรัย ธนาธรจึง รุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เดินทางมาร่วมฟังราศรียหาเสียงโค้งสุดท้าย เพื่อให้กำลังใจกับ เพชร กรุณพล
โดย ธนาธร กล่าวว่า วันที่ 30 ม.ค.นี้ จะเป็นวันสำคัญอีกวัน 1 วัน ที่ประชาชนได้มีโอกาสตัดสินใจว่าอยากได้พรรคการเมืองแบบไหนมาทำงานในสภา โดยตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรคก้าวไกล ก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นพรรคที่กล้าชนกับความอยุติธรรม กล้าตรวจสอบความไม่ถูกต้องโดยยึดหลักผลประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบกองทัพ การตรวจสอบทุนผูกขาด ของพรรครัฐบาล และการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ประชาชนจะมีโอกาสเลือก ว่า พรรคการเมืองแบบนี้มีความจำเป็นในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ประชาชนเองจะเป็นผู้กำหนด
ธนาธร ระบุอีกว่า ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรคก้าวไกล มักถูกดำเนินคดี ถูกกล่าวหาใส่ร้ายต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรม เพราะพวกเป็นพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเผด็จการ จึงอยากฝากพี่น้องประชาชน ว่า "เราไม่มีอำนาจ เราไม่มีรถถัง เราไม่มีปืน มีอย่างเดียวที่จะปกป้องพวกเราได้คือเสียงของประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้จึงสำคัญมาก”
'กรุณพล' ปลุกใช้สิทธิเลือกตั้ง ห่วงเรื่องซื้อเสียง ติงภาครัฐไม่จัดการ
ด้าน กรุณพล กล่าวว่า มั่นใจในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพราะจากการที่ไปลงพื้นที่มา การปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกลในวันนี้ ประชาชนจะได้เห็นวิสัยทัศน์ของตนและวิสัยทัศน์ของพรรค ที่จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้า จึงขอฝากว่า วันที่ 30 ม.ค. นี้ ให้ออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียง เพื่อส่งเสียงไปให้รัฐบาลได้รู้ว่า ประชาชนไม่ต้องการ การบริหารประเทศแบบไร้วิสัยทัศน์แบบนี้อีกแล้ว
กรุณพล ย้ำว่า ตนอยู่ในพื้นที่นี้มามากกว่า 23 ปี จึงรับรู้ถึงปัญหาจากชาวบ้าน และในฐานะที่เป็นนักแสดงจึงได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ในการเข้ามาปรึกษา ดังนั้นตนขออาสามาเป็นตัวแทนในการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน เพราะ การพูดอย่างเดียวไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่คือการลงมือทำความตั้งใจจริงในการรับรู้ปัญหาและลงมือทำ
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยอมรับว่ากังวลเรื่องการซื้อเสียง เพราะไม่มีหน่วยงานภาครัฐมาจัดการให้ถูกต้องตามครรลองของประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ไม่กังวลว่า การซื้อเสียงจะมาตัดคะแนน เพราะเชื่อว่าประชาชนฉลาดเพียงพอที่รู้ว่าเงิน 1,500 บาทเป็นเพียงแค่เศษเงิน สุดท้ายแล้วคนที่เอาเงินมาจ่ายให้ ก็จะเอาคืนจากงบประมาณจากภาษีเข้ากระเป๋าตัวเอง และ รู้ว่าว่าเงินเพียงไม่กี่บาท ไม่คุ้มค่าต่ออนาคตของตนเอง
ส่วนนโยบายแรกที่อยากทำ กรุณพล ระบุว่า อยากทำเรื่องวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากการลงพื้นที่ พบว่ามีผู้สูงอายุและมีผู้ป่วยติดเตียงอยู่ การเคลื่อนตัวต่างๆไปยังจุดฉีดก็มีค่าใช้จ่าย ที่สูงกว่าปกติ ตนจึงอยากขอให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทีมเคลื่อนที่เร็ว ไปทำทะเบียนของผู้ป่วยติดเตียงผู้สูงอายุในชุมชน และนำวัคซีนไปฉีด หรือนำยาไปส่ง เพราะบางคนอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางไปเข้ารับรางการรักษา