ไม่พบผลการค้นหา
ผอ.ท่าอากาศยาน จ.ขอนแก่น เผยยังไม่พบกล่องดำเฮลิคอปเตอร์เอกชนตกที่ จ.ขอนแก่น คณะกรรมการฯ เร่งหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตทยอยเดินทางมาติดต่อรับศพกลับไปบำเพ็ญกุศล

นายสุรศักดิ์ วัฒนาอุดมชัย นายอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.อ.กีรติกร อมรพัฒน์ภาคิน ผกก.สภ.ชนบท และ ว่าที่ ร.ต.อัธยา ลาภมาก ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน จ.ขอนแก่น นำคณะกรรมการสอบสวนจากสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักร กระทรวงคมนาคม หรือ AAIC ลงพื้นที่สอบสวนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ที่ บ.หูลิง ม.2 ต.วังแสง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยได้ทำการสูบน้ำออกจากบริเวณหัวเครื่องซึ่งเป็นจุดหลักที่เฮลิคอปเตอร์ตก เนื่องจากมีหลุมลึก 1.5 เมตร เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งการกันพื้นที่โดยรอบ โดยเฉพาะจุดหลักที่เฮลิคอปเตอร์ตกไปจนถึงจุดสุดท้ายที่ชิ้นส่วนเฮลิคอปเตอร์ตกอยู่ รวมพื้นที่กว่า 100 เมตร โดยสั่งห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่โดยเด็ดขาด เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดชิ้นส่วนและการยิงพิกัดจีพีเอสทั้งหมด



vlcsnap-2018-07-19-10h59m54s78.jpg

ว่าที่ ร.ต.อัธยา กล่าวว่า เช้าวันนี้ (19 ก.ค.61) สภาพอากาศเปิดคณะกรมการสอบสวนจากสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักร กระทรวงคมนาคม ได้ประสานขอรับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจาก อบต.วังแสง ในการสูบน้ำออกจากหลุมที่หัวเครื่องของเฮลิคอปเตอร์ตกอยู่ เนื่องจากตลอดทั้งคืนที่ผ่านมานั้นในพื้นที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อทำการสูบน้ำแล้วเสร็จ จะทำการวัดพิกัดจีพีเอสของชิ้นส่วนของอากาศยานลำนี้ทั้งหมดที่ตกกระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ และจนถึงขณะนี้ยังคงไม่พบกล่องบันทึกการสนทนาหรือการทำการบินหรือที่เราเรียกว่ากล่องดำ ของอากาศยานลำนี้แต่อย่างใด

“วันนี้เข้าสู่ขั้นตอนของการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยทุกอย่างต้องทำอย่างรัดกุม ละเอียดและเป็นไปตามระเบียบ อาจใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ มีเมฆปกคลุมประกอบกับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้การทำงานของทีมสืบสวน เป็นไปได้ยากในการที่จะสรุปหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ ทั้งนี้ยังไม่ยืนยันว่าสาเหตุของการเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกในครั้งนี้เกิดจากสาเหตุใด เราต้องตรวจสอบทั้งเรื่องในของอากาศยานที่บริษัทฯ จะต้องแสดงเอกสารหลักฐานของอากาศยานลำนี้ทั้งหมด รวมทั้งในเรื่องของการบำรุงรักษาอากาศยาน เอกสารเกี่ยวกับนักบินและผู้โดยสาร โดยขณะนี้บริษัทฯ ยังไม่มีการติดต่อมายังทีมสืบสวนแต่อย่างใด แต่บริษัทฯได้ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและญาติของผู้เสียชีวิตแล้ว อีกทั้งในช่วงของการเกิดเหตุนั้นยอมรับว่าทัศนวิสัยในการทำการบินนั้นไม่ดีอย่างมาก” ว่าที่ ร.ต.อัธยา กล่าว


vlcsnap-2018-07-19-11h01m21s186.jpg

ว่าที่ ร.ต.อัธยา กล่าวต่ออีกว่า อาจเป็นไปได้ว่ายังคงมีชิ้นส่วนของผู้เสียชีวิตนั้นและสิ่งของต่างๆ ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะกับใต้ซากอากาศยานลำนี้ ดังนั้นยังคงต้องห้ามไม่ให้ผู้ที่มี่ส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่โดยเด็ดขาดและจากการสอบสวนผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทราบว่าอากาศยานลำนี้พยายามที่จะลงจอดฉุกเฉินก่อนจะกระแทกกับคันนาและมีระเบิดเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับการเก็บกู้ซากอากาศยานลำนี้นั้นยังคงต้องรอให้การสืบสวนสอบสวนแล้วเสร็จ จึงจะมีคำสั่งเคลื่อนย้ายซากไปได้ โดยเบื้องต้นได้ข้อสรุปในการเก็บรักษาซากอากาศยานลำนี้ไว้ที่ภายลานจอดส่วนการฝึกบิน ท่าอากาศยาน จ.ขอนแก่น จนกว่าการสืบสวนสอบสวนในภาพรวมจะแล้วเสร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ญาติของผู้เสียชีวิตทั้ง 4 คน ต่างทยอยเดินทางมาพิสูจน์อัตลักษณ์และการประสานงานในการติดต่อรับผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีทางศาสนา ขณะนี้ทั้งหมดได้ถูกส่งตัวไปทำการชันสูตรที่สถาบันนิติเวช รพ.ศรีนครินทร์ คาดว่าช่วงบ่ายวันนี้ (19 ก.ค.) ร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายนั้น จะสามารถทยอยส่งมอบให้กับญาตินั้นนำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิดได้

กองทัพปูนบำเหน็จ7 ขั้น พระราชทาน ยศ พ.ท.

ส่วนเหตุเครื่องบินลาดตระเวนตกที่ จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีทหาร 3 นายเสียชีวิตและอีก 1นาย บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยว่า กองทัพ ได้ปูน บำเน็จ ให้จ.ส.อ. นัฐชนันท์ เขื่อนแก้ว ที่เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกที่จังหวัดแม่ฮองสอน เป็น 7 ขั้น และขอรับพระราชทานยศ เป็นพันโท ซึ่งได้รับสิทธิและการดูแลเหมือนกันทหารอีก 3 นายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เดียวกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: