ผู้นำบริษัทแอปเปิลชี้ ซิลิคอนแวลลีย์กำลังเผชิญความยากลำบากในการเติบโต ด้วยกฎระเบียบจากทางการที่เข้มงวดมากขึ้น ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาต่อของเหล่าหัวกะทิไอทีของสหรัฐฯ
เว็บไซต์ด้านเทคโนโลยีอย่าง CNET รายงานว่า นายทิม คุก ผู้นำและซีอีโอของบริษัทแอปเปิล ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Axios ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ HBO ของสหรัฐฯ โดยใจความสำคัญตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้คือการกล่าวเตือนบุคลากรด้านเทคโนโลยีในซิลิคอนแวลลีย์ ศูนย์กลางไอทีที่สำคัญของสหรัฐฯ ว่าต้องเตรียมรับมือกับอุปสรรคในการถูกควบคุมจากทางการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
โดยทิม คุก กล่าวอย่างเป็นมิตรต่อผู้ฟังว่า ตัวเขาเองในฐานะผู้นำของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ก็ไม่ได้พึงพอใจเท่าใดนักกับมาตรการควบคุมต่าง ๆ จากทางรัฐบาล เนื่องจากตัวเขาเองมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในตลาดเสรีมากกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ธุรกิจเทคโนโลยีในตลาดเสรีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอด้วยปัจจัยหลายอย่างที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และในความเป็นจริง รูปแบบดังกล่าวก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักทีเดียว เขาจึงอยากจะยืนยันกับทุกคนว่า การถูกควบคุมโดยรัฐบาลคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
เว็บไซต์ CNET วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันซิลิคอนแวลลีย์กำลังเผชิญความท้าทาย และถูกตั้งคำถามจากสังคมโลกอย่างหนักว่าบทบาทของศูนย์กลางเทคโนโลยีโลก ที่มีแกนนำสำคัญเป็นบริษัทเทคโนโลยีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก แอปเปิล หรือกูเกิล พวกเขาเหล่านี้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในการหล่อหลอมวัฒนธรรมของโลกยุคใหม่ให้เดินไปสู่หนทางที่ควรจะเป็นมากที่สุด เพราะอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีที่พวกเขาผลิตออกมาล้วนแต่เป็นปัจจัยในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ไปแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงข่าว ข้อมูล และแม้แต่การเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเมืองของคนในสังคม นั่นคือข้อพิสูจน์ที่ชี้ว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้มีอำนาจมหาศาลอยู่ในมือ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากซิลิคอนแวลลีย์ถูกทางการสหรัฐฯ บังคับอย่างเข้มงวดให้เร่งพิจารณาบทบาทของตัวเองใหม่ ว่าจะใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือที่นับวันจะยิ่งมากขึ้นอย่างไรให้ส่งผลกระทบทางลบต่อสังคมน้อยที่สุด อย่างเช่นกรณีที่บริษัทแอปเปิลถูกสอบสวนจากเอฟบีไอนับครั้งไม่ถ้วนในหลายกรณีที่มีความเกี่ยวเนื่องกับคดีการก่อการร้าย ซึ่งมีการใช้อุปกรณ์ของแอปเปิลเป็นส่วนหนึ่งของอาวุธ
ขณะที่บริษัทกูเกิลก็ถูกทางการสหรัฐฯ บังคับให้เข้ารับการสอบสวนกรณีที่มีข่าวออกมาว่า กูเกิลนั้นลักลอบพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับประเทศจีน ซึ่งมีการตกลงกับรัฐบาลจีนในการกรองข้องมูลข่าวสารก่อนส่งถึงประชาชนในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยกรณีดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชนอย่างมาก เพราะเป็นการจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
ขณะที่บริษัทเฟซบุ๊กก็ถูกทางการสหรัฐฯ โจมตีต่อเนื่อง ในกรณีที่เฟซบุ๊กถูกกล่าวหาว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแพร่กระจายข่าวปลอมระหว่างที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ที่ผ่านมา โดยมีรัสเซียเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง จนส่งผลให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในที่สุด
ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Axios นายทิม คุก ยังกล่าวถึงบทบาทของมาตรการจากรัฐบาลที่มีมากขึ้น ซึ่งเขาได้ย้ำเหมือนกับที่เคยพูดมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า กฎหมายมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ข้อมูลเฟซบุ๊กหลายสิบล้านบัญชีรั่วไหลไปยังบริษัทเคมบริดจ์อนาลิติกาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การร่างกฎหมายเพื่อปกป้องข้อมูลที่ต้องมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ชัดเจนคือสิ่งที่นายทิม คุก สนับสนุนให้รัฐบาลทำให้เกิดขึ้น
นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ผู้นำของบริษัทแอปเปิลยังระบุถึงกรณีความเท่าเทียมทางเพศที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วยว่า ซิลิคอนแวลลีย์ยังรับมือกับปัญหานี้ได้ไม่ดีนัก และจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันขึ้น ส่วนประเด็นของความเป็นส่วนตัวของข้อมูล นายคุกยืนยันว่าไม่มีบริษัทใดควรที่จะเอาเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานมาพิจารณาร่วมกับผลประโยชน์ของบริษัท เพราะนั่นคือความสำคัญสูงสุดที่ทุกบริษัทควรจะตั้งใจปกป้องให้ถึงที่สุด
ทิ้งท้ายของการสัมภาษณ์ นายคุกถูกถามประเด็นการเสพติดสมาร์ตโฟนของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งเขาชี้ว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกอยู่ในกลุ่มของคนที่ใช้สมาร์ตโฟนหลายชั่วโมงติดต่อกันต่อวันเช่นกัน แต่เขาพยายามมาโดยตลอดที่จะลดการใช้สมาร์ตโฟนลง พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่าเทคโนโลยีจะดีหรือเลวอยู่ที่เราเลือกจะมองมัน หลายครั้งที่ผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีไม่ได้สร้างเพื่อทำให้เกิดสิ่งชั่วร้าย แต่การนำไปใช้ในทางที่ผิดต่างหากที่ทำให้เกิดสิ่งชั่วร้ายตามมา