รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 9 พฤษภาคม 2563
นักวิเคราะห์ Talking Thailand ชวนคุย 10 ปี เหตุสลายม็อบเสื้อแดง และโยนความผิดกันไป-มา แต่ “อ.วิโรจน์” ชี้คนระดับบริหารปฏิบัติการ ที่รับบัญชาจากรัฐบาลปี 53 ยังได้ประโยชน์และลอยตัว และเมื่อ “อ.พิชญ์” หวังให้ “สุเทพ-อภิสิทธิ์” พูดความจริง “อ.วิโรจน์-ธีรัถต์” ตอบทันควัน ..ยาก!!
ขณะที่ ทนายความผู้เสียชีวิต ยันมีหลักฐานชี้ชัด “รัฐบาลปี 53” สั่งใช้อาวุธจริง สลายม็อบ และหวั่นถูกแทรกแซง...ปกปิดความจริง
นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความผู้รับผิดชอบคดีสลายการชุมนุมปี 2553 เปิดเผยความคืบหน้า การดำเนินคดีกับผู้ปฏิบัติการ ผู้สั่งการสลายการชุมนุม จนนำไปสู่ การบาดเจ็บและเสียชีวิต ของผู้ชุมนุมในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม โดยระบุว่าก่อนหน้านี้ คดีที่ญาติผู้สูญเสีย ร่วมกันฟ้องนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในเวลานั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. คดีได้ยุติ ในชั้นของ ป.ป.ช. โดยคณะกรรมการได้ชี้ว่า นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ออกคำสั่ง ตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย
ประเด็นดังกล่าวนายโชคชัย มีความเห็นแย้งว่าการกระทำและคำสั่งการของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไปไกลเกินกว่าที่ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้รับรองไว้ เช่น มีการใช้กำลังทหารพร้อมเครื่องกระสุนจริง สลายการชุมนุม ประชาชนออกคำสั่งเพื่อประกาศเขตใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุม ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่เกินกว่ากฎหมายรองรับ และไม่เป็นไปตามหลักการสากล แต่คดีดังกล่าวกลับยุติไป ซึ่งนายโชคชัยเห็นว่า กระบวนการยุติธรรม อาจถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมและยังมีอำนาจต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่การฟ้อง ผู้ปฏิบัติงานผู้บังคับหน่วย ก่อนหน้านี้ ญาติผู้เสียชีวิต คือภรรยาของนายพัน คำกอง ได้ให้ความร่วมมือกับตนเอง รวบรวมพยานหลักฐาน คำสั่งจากศาลที่ไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตเพื่อฟ้องผู้บังคับหน่วย ซึ่งออกคำสั่งปฏิบัติการจนทำให้นายพัน คำกอง เสียชีวิตต่อศาลอาญา ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา ศาลอาญาได้พิพากษายกคำร้องเนื่องจากเห็นว่า ผู้ปฏิบัติงานเป็นเจ้าพนักงานทหารจึงต้องฟ้องคดีต่อศาลทหาร นายโชคชัยในฐานะทนายจึงได้หารือกับญาติผู้เสียชีวิต และดำเนินการแก้ไขคำฟ้อง เพื่อยื่นอุทธรณ์ ว่าในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ได้ร่วมกับพลเรือน ซึ่งเมื่อร่วมกับพลเรือน เขตอำนาจการพิจารณาคดีจะกลับมาอยู่ที่ศาลอาญา จากนั้นจึงได้ยื่นอุทธรณ์อีกครั้ง
ซึ่งศาลนัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ในวันที่ 21 เมษายน 2563 แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิด-19ระบาด จึงต้องเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไป โดยศาลจะนัดฟังคำสั่งอีกครั้ง โดยนายโชคชัยมั่นใจว่า จากคำฟ้อง และพยานหลักฐาน หากระบวนการเป็นไปตามกฎหมายศาลจะรับฟ้อง นำคดีเข้าสู่การไต่สวนต่อไป ซึ่งหากทิศทางออกมาเป็นเช่นนั้นนายโชคชัยเตรียม เขียนคำร้องเพื่อฟ้องในคดีของผู้เสียชีวิตรายอื่นๆต่อไปเช่นกัน โดยเฉพาะคดีที่ศาลได้พิพากษา ไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่เข้าสลายการชุมนุมในเวลานั้น
นายโชคชัยย้ำว่าสำหรับคดีที่ศาลได้ไต่ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตไปแล้ว 27 ราย และมี 21 รายที่ศาลชี้ว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ปฏิบัติงาน และผู้เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม สามารถระบุได้ชัดเจนว่าผู้ปฏิบัติงานสังกัดใดหน่วยใด
นายโชคชัย กล่าวด้วยว่าหากศาลอุทธรณ์ยังไม่รับคดีดังกล่าวไว้พิจารณา ญาติผู้เสียชีวิตและทนายความจะต้องติดตาม เพื่อทวงถามความยุติธรรมต่อไป และเชื่อว่าหากโครงสร้างทางอำนาจเปลี่ยนแปลง ช่องทางการดำเนินคดีต่างๆ จะรวดเร็ว และเป็นธรรมมากขึ้น