ไม่พบผลการค้นหา
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เล่าว่า หนังสือหลายเล่มมีอิทธิพลต่อตัวเขา และส่วนตัวชอบอ่านนวนิยายสะท้อนภาพสังคม และเรื่องราวของผู้ถูกกดขี่มากเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นส่งผลให้เขาสนใจประเด็นทางสังคม อย่างเรื่องราวของชาวยิวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อถูกถามถึงหนังสือในดวงใจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ต้องออกปากขอโทษว่า เขาไม่สามารถเลือกหนังสือที่ชอบที่สุดได้ เพราะหนังสือทุกเล่มมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ผ่านมุมมองของผู้แต่งแตกต่างกัน แม้จะเป็นเรื่องราวเดียวกัน หรือช่วงเวลาเดียวกัน ก็ถูกเล่าออกมาไม่เหมือนกัน

“ถ้าเราอยากจะเห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบทเราอาจจะอ่าน มนต์รักทรานซิสเตอร์ เราอาจจะอ่าน ปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์ หรือเราอาจจะอ่าน ตลิ่งสูง ซุงหนัก ของนิคม รายยวา เป็นเรื่องของควาญช้างในโลกที่กำลังเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ ทำให้เครื่องจักรมาแทนที่ แล้วคนต้องกระเสือกกระสนหาวิธีเอาตัวรอดของตัวเอง

“ถ้าคุณอ่านหนังสือที่ผมพูดไปพวกนี้ แล้วคุณอ่านอีกสัก 2-3 เล่ม เช่น สี่แผ่นดิน หรือ ความสุขของกะทิ ก็จะเห็นคนละมุมมองกับ 3-4 เล่มแรก”

แม้ยากจะเลือกหนังสือสักเล่ม แต่ธนาธรก็ตัดสินใจเลือกหนังสือมาจำนวนหนึ่งคละกันไปทั้งเรื่องแต่งและเรื่องจริง ซึ่งเขากล่าวว่าหากจะแนะนำหนังสือสัก (หลาย) เล่ม เขาจะแนะนำให้คนอ่านเรื่องราวเหล่านี้

 

1. ประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรมเปรียบเทียบ
โดย ฉัตรทิพย์ นาถสุภา


01_ประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรม0.jpg

ผู้เขียนใช้กรอบประวัติศาสตร์เศรษฐกิจในการศึกษาว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา สำเร็จ หรือล้มเหลวอย่าง เพราะอะไร โดยมีปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง แล้วนำความรู้ที่พบกลับมาวิเคราะห์เศรษฐกิจประเทศไทย

“ผมคิดว่าเล่มนี้มีอิทธิพลกับชีวิต หนังสือเล่มนี้ไปดูในหลายประเทศว่าแต่ละประเทศเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ได้อย่างไร เข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร เข้าสู่อุตสาหกรรมได้อย่างไร ซึ่งแต่ละประเทศมีวิธีการเดินทางไม่เหมือนกัน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ มันทำให้เริ่มมาคิดว่า เฮ้ย แล้วประเทศไทยเนี่ย เข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่เมื่อไร ประเทศไทยมันกลายเป็นทุนนิยมตั้งแต่เมื่อไร ก็เกิดจากหนังสือของอาจารย์ฉัตรทิพย์เล่มนี้”


2. The Pianist
โดย วลาดิสลอว์ สปิลมัน (Wladyslaw Szpilman)


02_ThePianist0.jpg

บันทึกประสบการณ์จริงของผู้เขียน ซึ่งเป็นชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวผู้หลบหนีจากการสังหารหมู่ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาต้องระหกระเหินไปซ่อนตัวตามบ้านเรือนต่างๆ เพื่อเอาตัวรอดมาด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ รวมถึงทหารเยอรมันผู้ชื่นชมฝีมือการบรรเลงเปียโนของเขา

หนังสือเล่มนี้ไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยนัก แต่เรามักจะคุ้นเคยกับ The Pianist ในฉบับภาพยนตร์ในปี 2002 ซึ่งกำกับโดยโรมัน โปลันสกี (Roman Polański) และได้รับรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม

“หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมพอสมควรเหมือนกัน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมต้องไปอ่านเรื่องราวของคนยิว เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายเล่ม เพื่อจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงฆ่าคนเป็นล้านๆ คนในช่วงนั้นได้”


3. เด็กเก็บว่าว The Kite Runner
โดย คาเลด โฮสเซนี (Khaled Hosseini)


03_KiteRunner0.jpg

เรื่องราวของมิตรภาพที่ยืนยาวกว่าชีวิตของเด็กชายสองคนในเมืองคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ในวัยเด็กอาเมียร์ได้ทรยศต่อฮะซันเพื่อนสนิทของเขา แม้จะลี้ภัยมาอาศัยในสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดมา กระทั่งได้รับโอกาสไถ่บาปในรูปของคำขอสุดท้ายจากเพื่อน ให้ช่วยลูกชายออกจากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของกลุ่มตาลีบัน

เนื้อหาของ The Kite Runner ถูกเล่าโดยมีความผันผวนทางการเมืองสะท้อนอยู่ในฉากหลัง ทั้งการเปลี่ยนระบอบการปกครอง การรุกรานจากต่างชาติ ตลอดจนการเรืองอำนาจของรัฐบาลตาลีบัน ปัจจุบันมีฉบับภาษาไทยชื่อ ‘เด็กเก็บว่าว’ โดยสำนักพิมพ์ สรัสวดี

“หนังสือของคาเลด โฮสเซนี ผมอ่านแล้วร้องไห้ทุกเล่ม เริ่มจากเล่มนี้ Kite Runner ซึ่งทำเป็นหนังแล้วนะครับ เล่มที่สองก็คือ A Thousand Splendid Suns และเล่มที่สามก็คือ And the Mountains Echoed สามเล่มนี้ผมแนะนำมากนะครับถ้าใครพอจะอ่านภาษาอังกฤษออก ถ้าใครแปลเป็นภาษาไทยผมจะซาบซึ้งมาก เพราะถ้าให้ผมเลือกหนังสือเรียนนอกเวลานะ ผมจะเลือกเล่มแบบนี้ เป็นหนังสือที่ดีมาก”


4. A Thousand Splendid Suns
โดย คาเลด โฮสเซนี (Khaled Hosseini)


04_AThousandSplendidSuns0.jpg

ผลงานเล่มที่สองของคาเล็ด โฮสเซนี ยังคงเล่าถึงความรุนแรงในสังคมและความโหดร้ายของกลุ่มตาลีบัน แต่ในเล่มนี้โฮสเซนีเปลี่ยนมาเล่าผ่านมุมมองของผู้หญิงบ้าง หนังสือเล่มนี้เล่าถึงชีวิตของผู้หญิงสองคนที่เติบโตมาแตกต่างราวฟ้ากับเหว แต่ก็ถูกโครงสร้างของสังคมทำให้ชีวิตพังทลายไม่ต่างกัน ทั้งโดยสงครามและอำนาจของผู้ชายในสังคมที่ปฏิบัติราวกับผู้หญิงเป็นสิ่งของไร้จิตใจ

มาเรียม ลูกนอกสมรสผู้ได้แต่ฝันว่าหากได้ใช้ชีวิตในบ้านหลังใหญ่ของพ่อจะดีสักแค่ไหน เธอเติบโตขึ้นมาโดยถูกบังคับให้แต่งงานกับราชีด ชายผู้แก่กว่าเธอถึงสามสิบปี เพื่อทำหน้าที่ให้กำเนิดลูกตามความต้องการของเขา

อีกด้านหนึ่ง ไลลา เด็กสาวผู้โตมาในครอบครัวอบอุ่นและมีการศึกษา มีโอกาสได้ฝันถึงอาชีพอนาคตและคนรักตามใจต้องการต่างจากมาเรียมอย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่แล้วอนาคตของเธอก็ดับวูบลงพร้อมกับระเบิดร่วงหล่นจากฟ้าเมื่อสงครามปะทุ แล้วเธอก็ต้องจำยอมเป็นภรรยาคนที่สองของราชีดเพื่อให้กำเนิดลูกชายซึ่งมาเรียมไม่สามารถมีให้ได้


5. And the Mountains Echoed
โดย คาเลด โฮสเซนี (Khaled Hosseini)


05_AndTheMountainEchoed0.jpg

ขณะที่สองเล่มแรกติดตามพัฒนาการของตัวละครหลักตั้งแต่เล็กจนโตผ่านบริบททางสังคมและความผันผวนทางการเมือง ในเล่มนี้ โฮสเซนีแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 9 บทซึ่งเล่าผ่านมุมมองของหลายตัวละคร ก่อนจะขมวดรวมเรื่องราวให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของทุกคน

เรื่องเริ่มต้นที่ครอบครัวของชาวนายากจนเกินกว่าจะเลี้ยงลูกสองคนไหว เด็กชายวัยสิบขวบจึงต้องแยกจากน้องสาวอายุ 3 ปี ที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เหตุการณ์นี้ได้สร้างรอยโหว่ไว้ในใจของสองพี่น้อง เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา และส่งผลกระทบต่อทางเลือกในชีวิตของใครอีกหลายคนซึ่งท้ายที่สุดก็วนกลับมาหาพวกเขา ดังเสียงสะท้อนในหุบเขาที่ดังก้องกลับมาหาเราเสมอ


6. จอมโจรหนังสือ The Book Thief
โดย มาร์กัส ซูซัค (Markus Zusak)


06_จอมโจรหนังสือ0.jpg

เล่าผ่านมุมมองของยมทูตผู้มองเห็นความตายของผู้คนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเรื่องที่ยมทูตเล่าคราวนี้ คือเรื่องราวของจอมโจรหนังสือตัวน้อยผู้มีชื่อว่า ลีเซล เมมิงเกอร์

เด็กสาวรักหนังสือแม้เธอจะอ่านไม่ออก กระทั่งพ่อแม่บุญธรรมให้ชายชาวยิวนาม แมกซ์ แวนเดนเบิร์ก ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดิน เพื่อหลบเร้นจากสายตาของทหารนาซี แล้วแม็กซ์ก็สอนให้ลีเซลรู้จักเสน่ห์ และพลังของถ้อยคำ ทั้งถ้อยคำที่ปลุกความหวัง เชื่อมสัมพันธ์ของผู้คนเข้าด้วยกัน และถ้อยคำเปี่ยมด้วยเกลียดชังของท่านผู้นำสูงสุด

ในสังคมนาซีที่ปิดกั้นไม่ให้คนเข้าถึงหนังสือ เธอจึงต้องขโมยหนังสือจากกองไฟ และช่วยให้มันรอดพ้นจากการถูกทำลาย

สำหรับ The Book Thief ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า จอมโจรหนังสือ ของสำนักพิมพ์เพิร์ล

“หนังสือเล่มนี้ดีมากๆ ถ้ามีลูกอายุสักสิบกว่า สิบห้าปี อยากให้ลูกอ่านหนังสืออะไรที่เข้าใจประวัติศาสตร์ แล้วไม่เครียดเกินไป เป็นนิยาย แล้วเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ เข้าใจความรู้สึกของผู้คน ทำให้คนมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมแนะนำเล่มนี้สุดจริงๆ”


7. ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป
โดย วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์


07_ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง0.jpg

ในเวทีสนทนา ณ เทศกาล LIT Fest เมื่อ 20 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา มีหนังสือ 10 เล่มได้รับการคัดสรรมาให้นักการเมืองจาก 4 พรรคได้เลือกอ่าน ธนาธรหยิบหนังสือเล่มนี้ แล้วเปิดอ่านเนื้อหาบางส่วนให้ทุกคนฟัง ดังนี้

“พวกท่านจะซื้อขายผืนฟ้าได้อย่างไร และความอบอุ่นของผืนแผ่นดินนี้เล่าจะซื้อขายได้หรือ สำหรับพวกเราแล้วความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ประหลาดนัก ในเมื่อพวกเรามิได้เป็นเจ้าของความสดชื่นในอากาศ ทั้งประกายระยิบระยับในสายน้ำก็ไม่ใช่สมบัติของเรา เช่นนี้แล้วท่านจะซื้อมันได้ด้วยหรือ” หัวหน้าอินเดียนแห่งซีแอตเทิล กล่าวถึงการซื้อขายที่ดินของชาวตะวันตกในยุคบุกเบิกอเมริกา

ครึ่งแรกของหนังสือเล่าเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเมื่อชาวตะวันตกหลากสัญชาติมาเยือนแผ่นดินอเมริกาเป็นครั้งแรก ได้เผชิญหน้ากับชาวอินเดียนผู้อยู่อาศัยมาก่อน และชนเผ่าเหล่านี้ต้องการปกป้องแผ่นดิน และเสรีภาพของพวกเขาไว้ ส่วนครึ่งหลังเป็นการรวมจดหมาย คำปราศรัย ถ้อยประท้วง ของชาวอินเดียนไว้

“หนังสือทุกเล่มที่ผมอ่าน ผมจะไม่อ่านหนังสือพวกฮาวทูนะ แต่ผมจะอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกกระทำ ผู้ที่ถูกกดขี่ แล้วผมรู้สึกว่าหนังสือแบบนี้มันเป็นหนังสือของผู้ที่ถูกกระทำ ผู้ที่ทุกข์ทนจากการเป็นเหยื่อของการล่าอาณานิคม”