ไม่พบผลการค้นหา
ร.อ.ธรรมนัส แจงพรรคเพื่อไทยยกเลิกเวทีหาเสียงที่พะเยาเอง เพราะค่าดูแลพื้นหญ้าแพง และกลัวคนมาร่วมน้อยกว่า 'พปชร.' จึงสร้างเรื่องมาดิสเครดิต ยืนยันไม่ได้เตะตัดขา ด้าน 'อภิสิทธิ์' แนะรัฐบาลควรออกกติกาเกี่ยวกับสถานในการปราศรัยของพรรคการเมืองให้ชัดเจน เท่าเทียมและไม่ปิดกั้นประชาชน

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยาไม่อนุญาตให้พรรคเพื่อไทยใช้สนามกีฬา อบจ. ปราศรัยหาเสียงว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชารัฐหลังจากที่ถูกวิจารณ์ว่ามีการใช้อำนาจพิเศษ เปิดเวทีได้แต่พรรคเพื่อไทยกลับทำไม่ได้ ซึ่งคนในพื้นที่จะรู้ดีว่า ผู้บริหารของ อบจ. พะเยาเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น ใครจะเข้าไปสั่งหรือแทรกแซงได้ เท่าที่ตนทราบมา เหตุผลในการยกเลิกนั้น ประการแรก สนามกีฬามีพื้นเป็นหญ้า ค่าดูแลปีหนึ่งหลายสิบล้านบาท สภา อบจ. จึงมีกระทู้ถามถึงความเหมาะสมในการให้คนจำนวนมากเข้ามา อาจจะทำให้พื้นหญ้าเสียหายได้ และในวันนั้นมีคนมาร่วมงานไม่กี่ร้อยคน ต่างจากเวทีของพรรคพลังประชารัฐที่มีคนมากว่า 5,000 คน ทำให้พวกเขากลัวเสียหน้า เป็นเจ้าของพื้นที่กลับมีคนมาร่วมงานน้อยกว่าพรรคใหม่

“เรื่องนี้เหมือนเป็นการเล่นลิเก อนุญาตเองยกเลิกเองแล้วมาโยนให้พรรคพลังประชารัฐ ใครๆก็รู้ว่า อบจ.พะเยาเราไปแทรกแซงเขาไม่ได้ ส่วนสถานที่ที่เราจัดเป็นลานอเนกประสงค์ที่ให้ทำกิจกรรมได้ และไม่ใช่สถานที่ราชการเหมือนที่พวกเขาใช้ นอกจากนี้กระแสของพรรคพลังประชารัฐในภาคเหนือกำลังแรงมาก จากโพลสำรวจล่าสุดพรรคพลังประชารัฐจะได้ส.ส.ถึง 41 คน นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ร้อนใจกลัวแพ้ จึงต้องพยายามสร้างกระแสเพื่อดิสเครดิตพรรคพลังประชารัฐ” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว 

อภิสิทธิ์-เวชชาชีวะ.jpg

'อภิสิทธิ์' แนะรัฐบาลกำหนดสถานที่ปราศรัยให้ชัดเจน

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า ทุกอย่างต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมและจำเป็นจะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนสามารถรับฟังข้อมูลข่าวสารให้ได้ครบถ้วนมากที่สุด อีกทั้งยังให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องจากการเลือกตั้งนั้น ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดว่า พรรคการเมืองใดควรจะเข้ามาบริหารประเทศ ฉะนั้นประชาชนจะต้องมีสิทธิเข้าถึงการรับฟังแนวทางการบริหารประเทศแต่ละพรรคการเมือง ก่อนจะตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้ง

ดังนั้นรัฐบาลไม่ควรสกัดกั้นการปราศรัยของพรรคการเมือง เพราะจะทำให้การแข่งขันการเลือกตั้งลงไปสู่ใต้ดิน และ ทำให้เกิดความล้าหลัง อีกทั้งปัจจุบันพรรคการเมืองก็มีข้อจำกัดมากพออยู่แล้วในการปราศรัยกับประชาชน แต่หากรัฐบาลกลัวว่า ท้องถิ่นจะเอื้อประโยชน์ให้กับบางพรรคการเมือง ก็ควรออกเป็นกฎกติกาที่ชัดเจน โดยเฉพาะการกำหนดสถานที่ที่ชัดเจน ว่า มีที่ใดบ้างพรรคการเมืองสามารถใช้ปราศรัย และ พบปะประชาชนได้ ซึ่งจะต้องทำให้เกิดความเท่าเทียมกันทุกพรรคการเมือง

ส่วนกรณีที่รัฐบาลกำชับให้แต่ละกระทรวงจับตาการปราศรัยของแต่ละพรรคการเมืองที่ไม่ใช่ขั้วรัฐบาล ตนเห็นว่าต้องถามผู้มีอำนาจที่สังการดังกล่าว ว่า จะนำข้อมูลไปใช้ทำอะไร แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องปกติที่หน่วยงานราชการจะต้องรับรู้แนวทางการทำงานของแต่ละพรรคการเมือง เพราะเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หน่วยงานราชการจะได้มีความพร้อมในการสนองนโยบายต่างๆ