ประเทศจีนนับว่าเป็นตลาดปราบเซียนสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากต่างชาติ เพราะว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงและก็มีกฎเกณฑ์การควบคุมที่ค่อนข้างเข้มงวด จนผู้ประกอบการต่างชาติใหญ่ๆหลายรายยอมยกธงขาวถอนตัวกลับประเทศไปแล้ว แต่ว่าแอมะซอนซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากสหรัฐฯ ยังไม่ยอมแพ้ และเชื่อว่ายังสามารถที่จะเจาะตลาดจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกได้
แอมะซอนได้ลุยตลาดเมืองจีนมาได้หลายปีแล้ว แต่ว่าผลประกอบการยังคงไม่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากเจอกับคู่แข่งรายใหญ่เจ้าถิ่นอย่าง อาลีบาบา และ เจดีดอทคอม ทำให้แอมะซอนมีส่วนแบ่งการตลาดออนไลน์ในจีนเพียงแค่ร้อยละ 1 แต่ว่าบริษัทก็ยังเชื่อว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่ในจีนที่แอมะซอนจะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งมาได้ โดยแอมะซอนจะมุ่งเป้าไปที่การขายสินค้าในกลุ่มนิชที่มีความต้องการสินค้าบางอย่างเฉพาะเจาะจง
แอมะซอนเพิ่งเปิดตัวการสมัครสมาชิก Amazon Prime ให้กับกลุ่มลูกค้าในจีนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสมาชิกของ Amazon Prime จะสามารถสตรีมวิดีโอ, เพลง, ดาวน์โหลดอีบุ๊ค และสั่งสินค้าข้ามประเทศได้โดยไม่เสียค่าส่ง หากสั่งซื้อสินค้าที่มีมูลค่ารวมกันเกิน 200 หยวน (1,000 บาท) โดยจะมีการเก็บค่าสมาชิก Amazon Prime 388 หยวน (1,940 บาท) ต่อปี ซึ่งนักการตลาดมองว่าการสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศคือโอกาสที่ดีที่สุดของแอมะซอนในประเทศจีน เพราะยังมีสินค้าบางกลุ่มที่ผู้บริโภคชาวจีนให้ความเชื่อมั่นสินค้าต่างชาติมากกว่าสินค้าในประเทศ และแม้การสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศจะเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวจีน แต่ว่าก็ค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อยฯ โดยเฉพาะสินค้าแฟชันที่มีเอกลักษณ์ และสินค้าประเภทอาหาร เนื่องจากจีนมักมีข่าวที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของสินค้าประเภทอาหาร ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเชื่อมั่นสินค้าจากต่างชาติมากกว่า
โดยในช่วงเดือนเมษายน ถึงมิถุนายนของปีนี้ แอมะซอนมีส่วนแบ่งการตลาดของสินค้ากลุ่มนี้ในจีนร้อยละ 7.6 คิดเป็นมูลค่ารวม 94,000 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสแรกของปีนี้ร้อยละ 17.6 ซึ่งแอมะซอนมีจุดแข็งที่มีสินค้าต่างชาติที่ครอบคลุมทั้งจากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น หรืออังกฤษ
นอกจากนี้แอมะซอนยังได้ทำการผลิตวิดีโอเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ของจีน ซึ่งจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ในต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อแนะนำไลฟ์สไตล์ใหม่ๆจากต่างประเทศ แล้วก็พ่วงการโฆษณาสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มยอดขายในจีน
นักการตลาดในจีนยังมองว่าโอกาสของแอมะซอนอีกอย่างหนึ่งก็คือความสามารถในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาให้บริการด้าน smart services ไม่ว่าจะเป็นโกดังเก็บสินค้าอัตโนมัติ หรือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต "แอมะซอน โก" ที่เปิดให้บริการอยู่ในสหรัฐฯที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่มีแคชเชียร์คิดเงิน โดยลูกค้าเพียงแค่สแกนบัญชีชื่อใช้งานแอมะซอนของตัวเอง แล้วก็สามารถเดินเลือกหยิบของออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เลย ซึ่งหากได้รับการพัฒนาให้นำมาใช้ในจีนได้ ก็น่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะจีนเป็นประเทศที่เปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆพวกนี้อยู่แล้ว ซึ่งทางแอมะซอนก็มีความเชื่อมั่นว่าเรื่อง smart services แอมะซอนสามารถที่จะแซงหน้าคู่แข่งอื่นๆในจีนได้
อย่างไรก็ตาม อนาคตของแอมะซอนในจีนก็ยังไม่แน่นอน เนื่องจากบริษัทคู่แข่งอย่างอาลีบาบา และ เจดีคอทคอม ก็กำลังเร่งลงทุนและพัฒนาเรื่อง smart services เพื่อนำมาใช้ในจีนให้ได้โดยเร็วเหมือนกัน ขณะที่เรื่องการสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศ แม้ยอดขายของแอมะซอนจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังตามหลังอาลีบาบาอยู่มาก