ผลงานภาพยนตร์ของผู้กำกับหญิงในฮอลลีวูดเริ่มโดดเด่นขึ้นมาก แม้ผู้ว่าจ้างและสตูดิโอยังไม่เปิดโอกาสเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับวงการทีวี
หนึ่งในข่าวใหญ่ของฮอลลีวูดสัปดาห์ที่แล้ว คือ การที่นักแสดงและผู้กำกับดังอย่าง แอนเจลีนา โจลี กลายเป็น 'เอ-ลิสต์' คนล่าสุดที่ร่วมงานกับค่ายมาร์เวล โดยจะแสดงนำในโปรเจกต์ใหม่ The Eternals ซึ่งตีพิมพ์เป็นคอมิคครั้งแรกเมื่อปี 1976 และมีแนวโน้มสูงว่าจะทำเป็นภาพยนตร์แล้วประสบความสำเร็จ จนเกิดเป็นแฟรนไชส์ใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หัวข้อข่าวที่แทบจะโดน 'ฝังกลบ' ไป ทั้งที่อยู่ภายใต้โปรเจกต์เดียวกัน ก็คือ การรับหน้าที่กำกับโปรเจกต์ที่ว่านี้ของผู้กำกับหญิงฝีมือดี โคลอี จ้าว ที่ผลงานล่าสุดของเธอ The Rider ปี 2017 ได้รับคำชื่นชมในหมู่นักวิจารณ์อย่างมาก และทำคะแนน Rotten Tomatoes ไปได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในประเทศไทยเคยจัดฉายแบบเอ็กซคลูซีฟ เพียง 2 รอบ และมีผู้สนใจเข้าชมแบบ Sold Out
นอกจากนี้ ที่ค่ายมาร์เวลเช่นเดิม ก็มีการประกาศความคืบหน้าของโปรเจกต์ยักษ์ Black Widow ภาพยนตร์เดี่ยวของ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ที่แฟน ๆ อเวนเจอร์สรอคอยมานาน ซึ่งแน่นอนว่า เพื่อความเท่าเทียมและความเหมาะสมแล้ว มาร์เวลก็ต้องเลือกผู้กำกับหญิงมารับหน้าที่กำกับ และตำแหน่งนี้ก็ตกเป็นของ เคต ชอร์ตแลนด์ ที่ผลงานล่าสุด Berlin Syndrome ได้รับรางวัลที่เทศกาลซันแดนซ์ด้วย
ฝั่งดีซีก็ไม่น้อยหน้า เพราะเพิ่งประกาศโปรเจกต์ The New Gods มาให้แฟน ๆ ตื่นเต้นไม่แพ้กัน หลังประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องหลัง ๆ อย่างมาก โดย เอวา ดูเวอร์เนย์ ผู้กำกับหญิงแกร่งจาก Selma และ A Wrinkle in Time ซึ่งการกำกับ A Wrinkle in Time ครั้งนั้นเป็นการสร้างสถิติใหม่ของฮอลลีวูด โดยเธอเป็นผู้กำกับหญิงผิวสีคนแรกที่ได้กำกับภาพยนตร์คนแสดงที่มีงบประมาณเกิน 100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,200 ล้านบาท
อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่แฟนดีซีรอคอย ที่อำนวยการผลิตโดยค่ายวอร์เนอร์ บราเธอร์ส คือการนำตัวละครหญิงที่เป็นที่รัก นำโดย ฮาร์ลีย์ ควินน์ มานำเสนอในอีกมุมหนึ่ง กับเรื่อง Birds of Prey ที่แน่นอนว่าต้องนำแสดงโดย มาร์โก ร็อบบี เจ้าของบท ฮาร์ลีย์ ควินน์ คนเดิม และหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ฮอตที่สุดในเวลานี้ โดยปีนี้เธอมีคิวเปิดตัวภาพยนตร์ถึง 3 เรื่องด้วยกัน เริ่มต้นที่ Dreamland ในช่วงปลายเดือนนี้ ในเทศกาลไทรเบกา ในนิวยอร์ก
ทั้งหมดนี้ดูจะเป็นก้าวกระโดดสำคัญและน่าติดตามของผู้หญิงมากความสามารถในฮอลลีวูด แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อพิจารณาจากจำนวนการว่าจ้างผู้กำกับหญิง กลับไม่ได้ถือว่าพัฒนาขึ้นจากเดิมเท่าไร โดยจากผลสำรวจปี 2018 ทำเก็บข้อมูลจากภาพยนตร์ 250 เรื่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฮอลลีวูด จะพบว่ามี 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่กำกับโดยผู้หญิง ลดลงจากปีก่อนหน้า 3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ 'ตำแหน่งรอง' ลงมาในสายโปรดักชันอย่างนักเขียนบท หรือเอ็กเซกคิวทีฟโปรดิวเซอร์ กลับเป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ไม่มีโปรเจกต์ใดเลยที่มีจำนวนทีมงานตำแหน่งสำคัญเป็นผู้หญิงเกิน 25 เปอร์เซ็นต์
ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำโดย มาร์ธา ลอเซน จากศูนย์ศึกษาผู้หญิงในภาพยนตร์และโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยซานดิเอโก ซึ่งเธอคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้ รวมไปถึงปีหน้า (2020) ตัวเลขผู้กำกับหญิงจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ แม้ว่าสตูดิโอใหญ่เลือกที่จะ 'เลื่อนขั้น' ผู้กำกับชายมากกว่าผู้กำกับหญิง นั่นคือ ผู้กำกับชาย 'โนเนม' มักได้รับโอกาสในโปรเจกต์ใหญ่ ๆ มากกว่า
ประกอบกับอีกหนึ่งสัญญาณดีจากเทศกาลซันแดนซ์เมื่อต้นปีนี้ ที่มีการเปิดตัวแคมเปญ 4 Percent Challenge ซึ่งเป็นการออกมาเรียกร้องให้ 'ท้าทายสถิติ' ที่ชี้ว่าตลอด 11 ปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์รายได้สูงที่สุดเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ที่กำกับโดยผู้หญิง โดยแคมเปญนี้ระบุให้สตูดิโอใหญ่รับปากจะจ้างงานผู้กำกับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กำกับหญิงผิวสี ในช่วงเวลาอีก 18 เดือนข้างหน้า ซึ่งยูนิเวอร์แซล พาราเมานต์ วอร์เนอร์ฯ และเอ็มจีเอ็ม รับปากร่วมแคมเปญแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปปี 2017 ที่หนึ่งในผลงานที่ถูกพูดถึงอย่างมากอย่าง Mudbound ทำให้ 'โลก' รู้จักผู้กำกับหญิงผิวสีอย่าง 'ดี รีส์' โดยที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น คือความเห็นของหนึ่งในนักแสดงนำของเรื่อง แครี มัลลิแกน ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ผู้กำกับหญิงคนนี้ยอดเยี่ยมมาก และถ้าเธอเป็นผู้ชายผิวชาย คงได้กำกับ Star Wars ไปแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งที่น่าจับตา ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อจำนวนผู้หญิงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด ก็คือผลงานงบประมาณระดับกลาง และผลงานคอเมดี จำนวนมากกลายเป็นสิ่งที่สตูดิโอไม่กล้าลงทุน และผลงานเหล่านี้ได้ถูก 'ย้ายแพลตฟอร์ม' ไปฉายทางโทรทัศน์หรือสตรีมมิงมากกว่า ซึ่งในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ผู้หญิงก้าวหน้าขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเพราะผู้บริหารในทั้งสองวงการเริ่มเป็นคนอายุน้อยลง บอร์ดบริหารมีความหลากหลายขึ้นในทุกมิติ และค่าใช้จ่ายทางการตลาดก็ราคาต่ำกว่าการฉายภาพยนตร์โรงใหญ่มาก
หลังจากนี้ต้องติดตามกันว่าในปีนี้ และปีหน้า ที่จะมีผลงานใหญ่ ๆ ของผู้หญิงออกมาจะช่วยขับเคลื่อนให้บทบาทของผู้หญิงไปในทิศทางใดกันแน่ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การที่ผู้หญิงเติบโตยากหรือก้าวหน้ายากในวงการ จะส่งผลให้พวกเธอมีแนวโน้มจะถูกตำหนิมากกว่า เมื่อผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ และนั่นอาจไปปิดโอกาสในอนาคตของเพื่อนร่วมวงการผู้หญิงก็เป็นได้
