ไม่พบผลการค้นหา
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกมายอมรับว่า สงครามของรัสเซียในยูเครนอาจจะเป็น “กระบวนการที่ยาวนาน” โดยคำพูดดังกล่าวเป็นความพยายามปกป้องหลักฐานที่ฟ้องว่า กองทัพรัสเซียกำลังล่าถอยในหลายพื้นที่ อีกทั้งการโจมตีฐานทัพอากาศในดินแดนของรัสเซียที่ก่อให้เกิดความอับอายแก่รัสเซียเอง

ปูตินกล่าวกับสมาชิกคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนส่วนตัว เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (7 ธ.ค.) ว่า รัสเซียจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน ไม่ว่าจะในความขัดแย้งใดๆ พร้อมปฏิเสธว่ากองทัพรัสเซียกำลังละทิ้งกำลังพลจำนวนมากในสมรภูมิที่ยูเครน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีรัสเซียแก้ต่างว่า รัสเซียไม่จำเป็นจะต้องมีการระดมพลเพิ่ม ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่ทำให้รัสเซียเข้าสู่กลียุค

อย่างไรก็ดีในการกล่าวครั้งนี้ ปูตินพยายามปกป้อง “ปฏิบัติพิเศษทางการทหาร” ของรัสเซียในยูเครนเพื่อการรื้อฟื้นดินแดนรัสเซียในยุคซาร์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยประธานาธิบดีรัสเซียระบุว่า “สำหรับกระบวนการปฏิบัติการพิเศษทางทหารที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ แน่นอนว่าอาจเป็นกระบวนการในระยะยาว” ก่อนที่ปูตินจะกล่าวเสริมว่า “แต่แล้วคุณก็พูดถึงว่ามีดินแดนใหม่ปรากฏขึ้น นี่เป็นผลลัพธ์ที่สำคัญสำหรับรัสเซีย… ทะเลอซอฟได้กลายเป็นทะเลภายใต้รัสเซีย แม้แต่พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 ก็ต่อสู้เพื่อเข้าถึงทะเลอซอฟ”

ปัจจุบันนี้ กองทัพรัสเซียถูกขับไล่อย่างหนักจากการรุกคืนพื้นที่ของกองทัพยูเครน ทั้งนี้ รัสเซียต้องยอมละทิ้งดินแดน “ที่ถูกผนวก” เข้าเป็นของตนเองมาจากยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการถอนทัพออกจากพื้นที่เคอร์ซอนเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากกองกำลังของยูเครนเข้าปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่อย่างรวดเร็ว โดยในตอนนี้ รัสเซียกำลังยิงถล่มใส่เมืองเคอร์ซอนจากอีกฝั่งของแม่น้ำดนิโปร แม้พื้นที่ดังกล่าวที่ถูกรัสเซียยิงถล่ม จะถูกอ้างโดยรัสเซียเองว่าเป็นดินแดนของตน

ในทางตรงกันข้าม เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ออกมาแก้ต่างยุทธวิธีดังกล่าวว่า รัสเซียเองก็เคยทิ้งระเบิดใส่สตาลินกราด ซึ่งเป็นพื้นที่ของตนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ในการออกมากล่าวเมื่อวานนี้ของปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียปฏิเสธว่ารัฐบาลของตนกำลังวางแผนที่จะระดมกำลังพลครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยปูตินอ้างว่ากองกำลังที่รัสเซียระดมพลไปเมื่อครั้งล่าสุดกว่า 300,000 นายนั้น มีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของกองกำลังดังกล่าว ที่ถูกส่งเข้าไปยังยูเครนซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้ง ในขณะที่เหลืออีกครึ่งกำลังได้รับการซ้อมรบอยู่

“ในเงื่อนไขเหล่านี้ การพูดถึงประเด็นใดๆ เกี่ยวกับการระดมพลเพิ่มเติมยนั้นไม่สมเหตุสมผล รัฐและกระทรวงกลาโหมไม่ต้องการสิ่งนี้ในตอนนี้” ปูตินกล่าว โดยการระดมพลรอบที่แล้ว ซึ่งประกาศเมื่อกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เกิดขึ้นหลังจากการที่ทางการรัสเซียออกมาปฏิเสธด้วยเช่นกัน

ปูตินยังปฏิเสธอีกว่า กองทัพรัสเซียไม่ได้ประสบกับความสูญเสียอย่างรุนแรงในสมรภูมิยูเครน หลังจากสภาพการเป็นอยู่ที่เลวร้าย และขวัญกำลังใจที่ต่ำของกำลังพล โดยคำพูดดังกล่าวของปูติน เกิดขึ้นหลังจากสื่ออิสระของรัสเซียออกมารายงานว่า มีค่ายเรือนจำในพื้นที่ดอนบาสที่รัสเซียยึดครองอยู่ ซึ่งใช้ขังกำลังพลของตนเองที่ปฏิเสธในการเข้าสู้รบหลายสิบราย ซึ่งต่างตกอยู่ในสภาพที่น่ารันทดอย่างรุนแรง “มันมีคนที่หนีทัพหรือไม่? ใช่ มันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น… (แต่) น้อยลงเรื่อยๆ ในตอนนี้” ปูตินกล่าว “ผมขอย้ำอีกครั้งว่าไม่มีกรณีใดในลักษณะดังกล่าว (การหนีทัพ) ที่เกิดขึ้นครั้งใหญ่”

ปูตินยังกล่าวถึงโอกาสในการเกิดสงครามนิวเคลียร์ ซึ่งประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งกับตะวันตกเป็น “ภัยคุกคามนี้เพิ่มมากขึ้น ผมปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้” ปูตินกล่าวตอบคำถาม พร้อมกล่าวเสริมว่ารัสเซียจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์เหล่านั้นก่อน ทั้งนี้ มีความกังวลจากพันธมิตรตะวันตกว่า รัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์หากตัวเองจนมุมและไม่มีทางเลือกอื่น อีกทั้งข้อกล่าวหาว่ารัสเซียพยายามนำอาวุธนิวเคลียร์มาขู่กรรโชกชาติตะวันตกและยูเครน

“เราไม่ได้เป็นบ้า เราตระหนักดีว่าอาวุธนิวเคลียร์คืออะไร เรามีเครื่องมือเหล่านี้ ซึ่งก้าวหน้ากว่าและทันสมัยกว่าวิธีของประเทศที่มีนิวเคลียร์อื่นๆ ณ วันนี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ชัดเจน” ปูตินกล่าว “เราจะไม่โบกอาวุธเหล่านี้ไปมาเหมือนมีดโกน ใช้มันไปรอบโลก แต่แน่นอนว่าเราดำเนินการด้วยความเข้าใจว่าพวกมันมีอยู่จริง” ประธานาธิบดีรัสเซียย้ำ


ที่มา:

https://www.theguardian.com/world/2022/dec/07/vladimir-putin-says-russias-war-on-ukraine-could-be-long-term-process?CMP=Share_iOSApp_Other&fbclid=IwAR2alYX8iHBdgDHCsv_djvic1yAO_FRYDPPz_wQ8zSfulZmJqLVU__4M0to