“มูจิ” สินค้าไร้แบรนด์คุณภาพดีสไตล์มินิมัลลิสต์จากญี่ปุ่น ตอบโจทย์คนทั่วโลก ถึงขั้นที่สิ้นปีงบประมาณ 2018 นี้ มูจิจะขยายสาขาในต่างประเทศได้จำนวนมากกว่าสาขาในญี่ปุ่นแล้ว โดยเคล็ดลับความสำเร็จของมูจิ ก็คือสินค้าคุณภาพที่ใช้ดีจนมีการบอกต่อผ่านโซเชียลมีเดีย บวกกับการจับอุปนิสัยผู้บริโภคยุคใหม่ได้ถูกจุด
มูจิรุชิ เรียวฮิน หรือมูจิ แถลงว่าในสิ้นปีงบประมาณ 2018 มูจิจะมีสาขาในต่างประเทศ 460 สาขา มากกว่าสาขาในญี่ปุ่น ที่มี 424 สาขา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 37 ปีของบริษัทที่จะมีสาขาในต่างประเทศมากกว่าในญี่ปุ่น และยอดขายในต่างประเทศ จะคิดเป็น 42% ของรายได้บริษัทภายในปี 2020 จากเดิมที่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 35% ในปีนี้
ตลาดใหญ่ที่สุดของมูจิในต่างประเทศคือจีน มี 128 สาขา และเตรียมเปิดใหม่อีก 50 สาขา ส่วนในฮ่องกงก็มีอีก 14 สาขา ไต้หวัน 42 สาขา รวมถึงไทยและเกาหลีใต้แห่งละ 14 สาขา ทั้งหมดเป็นตลาดหลัก เนื่องจากมีไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรมใกล้เคียงญี่ปุ่น รวมถึงยังเป็นประเทศที่ประชาชนนิยมสินค้าญี่ปุ่นอยู่แล้ว
ขณะที่สาขาของมูจิในยุโรป ก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศใหญ่ๆอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ที่มีแห่งละ 12 สาขา ส่วนตลาดที่มูจิมุ่งเจาะเป็นที่ต่อไป คือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากเปิดสาขาที่อินเดียแล้ว 2 สาขา และจะเปิดอีก 2 สาขาในอนาคตอันใกล้
ความสำเร็จมูจิ คล้ายกับยูนิโคล่ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในต่างแดน มีสาขาเกือบ 958 สาขาในต่างประเทศ และมีสาขาในญี่ปุ่นเพียง 837 สาขา กลยุทธที่ทำให้มูจิประสบความสำเร็จในตอนนี้ ทั้งที่ก่อตั้งมาแล้ว 37 ปี ก็คือ
1. การรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียของลูกค้า ใช้ดีแล้วบอกต่อ แม้ว่าการบอกปากต่อปากจะเกิดขึ้นนานแล้ว แต่หลังจากมีโซเชียลมีเดีย วัฒนธรรมการรีวิวสินค้าและบอกต่อ ก็แพร่ขยายและเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผ่านการทำคลิปรีวิว หรือการโพสต์โดยบรรดา influencer หรือ blogger ชื่อดังในโลกออนไลน์
2. ไลฟ์สไตล์แบบมินิมัลลิสต์ของมูจิ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม วิถีชีวิตคนเมือง ที่หันมาซื้อหรือเช่าอพาร์ทเมนท์มากขึ้น ตกแต่งบ้านเอง ใช้ของประดิษฐ์เองหรือประยุกต์เอง และนิยมความคูล ชิค แบบมินิมัลลิสต์มากขึ้น ทำให้สินค้ามูจิกลายเป็นของที่ดูดีมีรสนิยม และตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายแต่ทันสมัยในเมืองใหญ่ ถึงขั้นที่หลายคนมองว่าไลฟ์สไตล์แบบมูจิและการใช้ของมูจิ กลายเป็น sub-culture อย่างหนึ่งไปแล้ว
3. จับอุปนิสัยผู้บริโภคยุคใหม่ได้ หลายปีที่ผ่านมา มูจิจับเทรนด์ผู้บริโภคได้ว่าสินค้าประเภทใช้แล้วหมดไปหรืออายุสั้นอย่างถุงเท้า คนจะไม่นิยมซื้อของแพง เช่นเมื่อมูจิลดราคาถุงเท้าแพค 3 คู่ จาก 1,200 เยน เหลือ 990 เยน ก็ทำให้ยอดขายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม เครื่องใช้ที่ใช้ได้นาน และเข้ากับไลฟ์สไตล์ แม้จะราคาสูง ก็ยังมีคนซื้อ เช่นเครื่องบดและชงกาแฟอัตโนมัติ ราคา 33,000 เยน หรือกว่า 10,000 บาทของมูจิ มียอดสั่งซื้อถึง 12,000 เครื่องในเวลาเพียง 69 วัน
กุญแจสำคัญไปสู่ความสำเร็จของมูจิในอนาคต ก็คือผู้บริโภคชาวจีน ตลาดใหญ่ที่สุด ที่ผ่านมา ชาวจีนรุ่นใหม่เริ่มเปิดกว้างต่อสินค้าญี่ปุ่นมากขึ้น และมีรสนิยมสากลมากขึ้น แต่สิ่งที่มูจิต้องระมัดระวังก็คือการแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า เนื่องจากชาวจีนมีความอ่อนไหวต่อการรีวิวในโลกออนไลน์ และนิยมการแบนสินค้าที่ถูกมองว่ามีปัญหา หากมูจิเจอข่าวลือเรื่องคุณภาพสินค้าบ่อยๆ ก็อาจประสบปัญหาในด้านภาพลักษณ์ได้